บทความโดย ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ CEO Jitta Wealth
วันที่ 20 พฤษภาคม 2567 นายตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) จิตตะ เวลธ์ จำกัด เปิดเผยผ่านบทความว่า เข้าสู่ช่วงกลางปีแล้ว กระแสดอกเบี้ยโลกก็ปรวนแปรอีกครั้งผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เมื่อต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาแม้มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายตามที่ตลาดคาดไว้ แต่กลับไม่เป็นบวกต่อตลาดหุ้นสหรัฐเลย เพราะเฟดส่งสัญญาณว่าการปรับลดดอกเบี้ยจะเกิดขึ้นช้าลงและอาจจะน้อยกว่าที่ตลาดคาดหวังด้วย
หากจำกันได้ ผลการประชุมเฟดเมื่อกลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เฟดมีมติคงอัตราดอกเบี้ยไว้พร้อมกับส่งสัญญาณไว้ว่าจะปรับลดดอกเบี้ยครั้งแรกในเดือนมิถุนายนนี้และจะมีการปรับลดดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้ ส่งผลให้ตลาดหุ้นในช่วงนั้นปรับตัวขึ้นต่อเนื่องกันทั่วโลก
จุดเปลี่ยนการส่งสัญญาณของเฟดในครั้งนี้ทำให้นักลงทุนต้องหันกลับมาทำการบ้านพิจารณาข้อมูลใหม่และดูสินทรัพย์ไหนที่ได้ประโยชน์บ้าง เรามาดูข้อมูลต่าง ๆ กันครับ เพื่อวางแผนการลงทุนในช่วงกลางปีนี้กัน
เอฟเฟ็กต์เฟดลดดอกเบี้ยช้าลง บอนด์ยีลด์เด้ง
เวลาแค่เดือนกว่า ๆ เท่านั้น สถานการณ์ตอนนี้กลับไม่เหมือนเดิมแล้วเพราะในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ FOMC ครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ 30 เมษายน-1 พฤษภาคม 2567 FOMC มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 5.25-5.50% นับเป็นครั้งที่ 6 ติดต่อกันและเป็นระดับสูงสุดในรอบ 23 ปี นับตั้งแต่ปี 2544 หลังจากที่ปรับขึ้นดอกเบี้ยมาถึง 11 ครั้ง เข้าสู่วัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้นในเดือนมีนาคม 2565 ส่งผลให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยรวมทั้งสิ้น 5.25% นับจาก 0.00-0.25%
ถ้อยแถลงการณ์ของเฟดยังคงเน้นย้ำถึงการต่อสู้กับอัตราเงินเฟ้อ โดยได้ระบุว่าข้อมูลปัจจุบันยังขาดพัฒนาการเพิ่มเติมในการลดลงของเงินเฟ้อที่จะบรรลุเป้าหมายเงินเฟ้อ 2%
โดยตัวชี้วัดล่าสุด กิจกรรมทางเศรษฐกิจยังคงขยายตัวในอัตราที่มั่นคง การจ้างงานยังคงแข็งแกร่ง และอัตราการว่างงานยังอยู่ในระดับต่ำ ส่วนอัตราเงินเฟ้อแม้ได้ผ่อนคลายลงในช่วงปีที่ผ่านมา แต่ปีนี้ยังเพิ่มขึ้นในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ภาพรวมของเศรษฐกิจสหรัฐยังคงไม่แน่นอน จึงยังคงระมัดระวังต่อความเสี่ยงของเงินเฟ้อ
พร้อมกันนี้ คณะกรรมการจะยังคงลดการถือครองพันธบัตรกระทรวงการคลังและพันธบัตรรัฐวิสาหกิจ และหลักทรัพย์ค้ำประกันโดยหน่วยงานรัฐต่อไป โดยนับตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2567 จะชะลอการลดการถือครองหลักทรัพย์ โดยลดเพดานการไถ่ถอนพันธบัตรกระทรวงการคลังรายเดือน จาก 60,000ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลงเหลือ 25,000 ล้านดอลลาร์
แต่จะคงวงเงินการไถ่ถอนรายเดือนสำหรับพันธบัตรรัฐวิสาหกิจและหลักทรัพย์ค้ำประกันโดยหน่วยงานรัฐไว้ที่ 35,000 ล้านดอลลาร์ และจะนำเงินต้นที่เกินกว่าขีดจำกัดนี้ไปลงทุนในพันธบัตรกระทรวงการคลัง ถ้อยแถลงระบุด้วยว่า การประเมินจุดยืนที่เหมาะสมของนโยบายการเงินจะติดตามผลกระทบของข้อมูลแนวโน้มเศรษฐกิจที่เข้ามาใหม่ รวมถึงข้อมูลสภาวะตลาดแรงงาน แรงกดดันด้านเงินเฟ้อและการคาดการณ์เงินเฟ้อ และพัฒนาการด้านการเงินและด้านการระหว่างประเทศ
“คณะกรรมการจะเตรียมปรับจุดยืนของนโยบายการเงินตามความเหมาะสมหากเกิดความเสี่ยงที่อาจขัดขวางการบรรลุเป้าหมายของคณะกรรมการ”
ด้าน “Jerome Powell” ประธานเฟด ออกมาให้สัมภาษณ์หลังการประชุมถูกถามถึงประเด็นมีโอกาสที่จะปรับขึ้นดอกเบี้ยหรือไม่ ซึ่งคำตอบคือ “ในการประชุมครั้งถัดไปยังไม่มีแผนที่จะขึ้นดอกเบี้ย และก็ยังไม่รู้ว่าจะใช้เวลานานแค่ไหนเช่นกัน กว่าที่จะมั่นใจในการลดดอกเบี้ย”
เขายังตอบคำถามเรื่อง ตลาดวิตกกังวลสหรัฐจะเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวแต่เงินเฟ้อสูงขึ้น (Stagflation) ว่า “การขยายตัวทางเศรษฐกิจของเราอยู่ที่ระดับ 3% และเงินเฟ้ออยู่ที่ระดับต่ำกว่า 3% ซึ่งนี่ไม่ได้เรียกว่าภาวะ Stagflation”
ส่วนการสำรวจ Fed Watch Tool ในการประชุมครั้งถัดไป วันที่ 12 มิถุนายนที่จะถึงนี้ ตลาดให้น้ำหนักความเป็นไปได้ราว 90.8% ที่เฟดจะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 5.25-5.50% และมองว่าจะลดดอกเบี้ยครั้งแรกในช่วงเดือนกันยายนนี้
ซึ่งจะเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวในปี 2567 จากที่ก่อนหน้านี้ คาดว่าจะเห็นการปรับลดดอกเบี้ย 3 ครั้ง ครั้งละ 0.25% รวมกัน 0.75% ในปีนี้ ลดลงมาเหลือ 4.50%-4.75%
เมื่อทิศทางลมเปลี่ยน เฟดจำเป็นต้องตรึงอัตราดอกเบี้ยระดับสูงเป็นเวลานานกว่าที่คาด ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ (Bond yield) ปรับตัวขึ้นแรง โดยเฉพาะอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 2 ปี ซึ่งมีความอ่อนไหวต่อทิศทางอัตราดอกเบี้ยเฟด พุ่งขึ้นเหนือระดับ 5% และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี ทะยานขึ้นแตะระดับ 4.657% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 6 พฤษภาคมที่ผ่านมา
แนวโน้ม Bond Yield จากนี้ คาดว่าจะทยอยปรับตัวลดลง โดยมีปัจจัยหนุนจากนักลงทุนในตลาดได้เลื่อนความคาดหวังถึงการลดดอกเบี้ยครั้งแรกออกไปเป็นช่วงปลายปีนี้ และมองว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยเพียงครั้งเดียวในปีนี้ และอีกปัจจัย ตลาดมองว่า เฟดจะลดดอกเบี้ยลงมาเหลือ 3.8%
และคงดอกเบี้ยที่ระดับดังกล่าวไปในระยะยาวซึ่งเข้มงวดกว่าประมาณการดอกเบี้ยระยะยาวที่เหมาะสมของ Fed ที่ 2.6% ตลาดประเมิน Bond Yield จะปรับตัวลงอยู่แถว ๆ 4% ต้น ๆ ในช่วงปลายปีนี้ ดังนั้น พันธบัตรระยะยาวจะได้ประโยชน์ครับ
ทิศทางลมเปลี่ยน ตลาดหุ้นสหรัฐยังไปต่อหรือขอพักก่อน ?
เวลานี้นักลงทุนกำลังพยายามหาความสมดุลระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐ ที่ยังอยู่ในทิศทางที่ดี บ้างก็มองว่าเป็น Soft Landing กับประเมินภาพรวมของเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ย ก่อนหน้านี้ตลาดหุ้นสหรัฐเคลื่อนไหวไร้ทิศทาง แต่เมื่อกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนี CPI ทั่วไปซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 3.4% ในเดือน เม.ย. ประกอบกับกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเผยยอดค้าปลีกทรงตัวในเดือนเม.ย. เมื่อเทียบรายเดือน สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.4% หลังจากที่เพิ่มขึ้น 0.6% ในเดือน มี.ค.
ทำให้นักลงทุนมีความหวังว่าเฟดอาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในระยะเวลาอันใกล้นี้ ส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐ ที่ชะลอความร้อนแรงในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมากลับมาทำสถิติ All Time High อีกครั้ง แต่จะเห็นได้ว่ากลุ่มหุ้นเทคโนโลยียังเป็นตัวหนุนนำตลาดเช่นเดียวกับช่วงไตรมาสแรกที่ผลประกอบการของหุ้นสหรัฐยังออกมาแกร่งกว่าที่ตลาดคาดโดยเฉพาะหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐ จึงยังหนุนราคาหุ้นไปต่อ
ประกอบกับปีนี้เป็นปีที่จะมีการเลือกตั้งใหญ่ ซึ่งสถิติพบว่าปีที่มีการเลือกตั้ง ดัชนี S&P500 จะปรับตัวบวกเฉลี่ย 13.1% สำหรับใครที่กำลังมองตลาดหุ้นสหรัฐ ช่วงนี้อาจจะลังเลว่า ราคาหุ้นสูงเกินไปหรือยัง หรือยังมีหุ้นดีราคาถูกให้เลือกลงทุนอยู่หรือไม่ หากคุณเชื่อมั่นในสหรัฐ จริง ๆ ผมแนะนำให้เข้าไปเลือกหุ้นตามการจัดอันดับของ Jitta.com ได้ฟรี ๆ เลยครับ
เพราะเราพัฒนาระบบ AI เข้ามาช่วยวิเคราะห์และประมวลผล ข้อมูลกว่า 1,000 ล้านชุดข้อมูลต่อวัน วิเคราะห์หุ้นกว่า 48,000 หุ้น ครอบคลุมหุ้น 90% ทั่วโลก เพื่อหาหุ้นที่น่าลงทุนที่สุดของแต่ละตลาด (Jitta Ranking) ตามหลักการลงทุนเน้นคุณค่า (Value Investing : VI) ช่วยคัดหุ้นดีราคาถูก สร้างผลตอบแทนชนะตลาดได้ในระยะยาว
หุ้นจีน-ฮ่องกง เริ่มติดเครื่องรับเศรษฐกิจจีนฟื้น-กำไร บจ.โต
แต่หากคุณต้องการหันไปหาตลาดที่ยังมีราคาถูกลงทุน เพื่อรับผลตอบแทนก้าวกระโดดในอนาคต ผมยังมีข้อมูลเด็ด ๆ มาแบ่งปันให้อีกครับ เนื่องจาก Jitta ใช้ AI มาวิเคราะห์หุ้นนานกว่า 12 ปี และยังคงพัฒนาต่อเนื่อง AI ล่าสุดที่นำมาใช้คือ AI Predictive Analytics ที่พัฒนามาสู่ Jitta Market Prediction
ซึ่งเป็นการวิเคราะห์ในแบบ ที่นำฐานข้อมูลการลงทุนมาวิเคราะห์ในทุกมิติ เฟ้นหาตลาดที่น่าลงทุนและมีศักยภาพที่จะสร้างผลกำไรดีที่สุดในอนาคต โดย AI บ่งชี้ว่า เวลานี้ หุ้นจีน-ฮ่องกงเป็นตลาดที่น่าลงทุน และมีโอกาสสร้างผลตอบแทนในระยะยาวได้มากที่สุดครับ
ตลาดหุ้นจีนตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาสามารถฟื้นตัวขึ้นมาได้ โดยไตรมาส 1 ที่ผ่านมา ดัชนี CSI 300 บวก 3.1% ขณะที่ ดัชนี HSI ของฮ่องกง ยังติดลบ 2.52% แต่เมื่อเร็ว ๆ นี้ ตลาดหุ้นฮ่องกง ติดเครื่องวิ่งทำนิวไฮไป 7 วันติด ๆ กันเลยครับ
หลายคนอาจจะมีภาพจำบาดเจ็บจากหุ้นจีนปรับตัวลงมานาน 3 ปีแต่ตอนนี้กำลังรอเวลาทะยานครับ ผมหวังว่า คุณจะเริ่มใจชื้นขึ้นมาบ้างแล้ว ส่วนอะไรคือปัจจัยสำคัญที่ดันตลาด ? แล้วจะเข้าซื้อตอนนี้ยังทันไหม ? จะแบ่งสัดส่วนลงทุนอย่างไรดี ? ผมขอฉายภาพรวมอย่างนี้ครับ
ปีนี้ตลาดหุ้นจีนมีปัจจัยหลักที่หนุนอยู่ คือ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลจีนทยอยออกมาทั้งการลดดอกเบี้ย ลด RRR มาตรการ Whitelist ที่พยุงภาคอสังหาริมทรัพย์และที่สำคัญ National Team ก็ออกมาซื้อ CSI300 /500/1000 ด้วย พยุงกันสุด ๆ ครับ
ส่วนเศรษฐกิจจีนไตรมาสแรกปี 2567 ขยายตัว 5.3% เมื่อเทียบกับปีที่แล้วสูงกว่าระดับที่คาดการณ์ไว้ว่าจะขยายตัวเพียง 4.6% โดยได้รับแรงหนุนจากการใช้จ่ายของภาครัฐ และภาคการผลิตยังคงขยายตัวได้ดีสูงกว่าช่วงเกิดวิกฤต COVID-19 ขณะที่ภาคอสังหาริมทรัพย์และความต้องการใช้สินค้าภายในประเทศยังคงอ่อนตัว
แม้เศรษฐกิจจีนจะขยายตัวดีกว่าคาดการณ์ แต่ผู้เชี่ยวชาญมองว่าเป้าหมายการขยายตัวของ GDP ที่ 5%ของทั้งปีมีความเป็นไปได้แต่จำเป็นต้องอาศัยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาลจีนเพิ่มเติม โดยเฉพาะภาคอสังหาริมทรัพย์และการบริโภคภายในประเทศ ซึ่งแนวโน้มอีก 3ไตรมาส GDP น่าจะโต 4.9%, 4.7% และ 4.7% ตามลำดับ (Bloobmerg Consensus) โดยยังต้องระวังความเสี่ยงสำคัญ คือ ธุรกิจในภาคอสังหาฯที่ยังหดตัว รวมถึงความขัดแย้งเชิงภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical) กันอยู่ครับ
หุ้นจีนจะไปต่อได้ไหม ? คำตอบคือ หรือต่างชาติ ซึ่งรัฐบาลก็ส่ง National Team เข้ามาคอยพยุงตลาดไว้อีกด้วยยิ่งทำให้ความเชื่อมั่นฟื้นขึ้นมาดีขึ้นซึ่งสถานการณ์ต่างจากหลายปีก่อนที่ความเชื่อมั่นลดลง เนื่องจากการฟื้นตัวที่ช้าของเศรษฐกิจ ปัญหาด้านการเมือง การแทรกแซงจากภาครัฐ และที่สำคัญ ปัญหาวิกฤตในภาคอสังหาฯกดดันภาพรวมตลาดหุ้นระดับหนึ่ง
ปัจจุบัน ภาพรวมรายประเทศ GDP จีน เติบโตมาได้เรื่อย ๆ เป็นอันดับ 2 ของโลก ไล่หลังสหรัฐมาติด ๆ แต่! ราคาหุ้นกลับสวนทางขณะที่กำไรของบริษัทในตลาดยังเติบโตได้ต่อเนื่อง หากมองตลาดหุ้น Valuation ถือว่าถูก กลายเป็นว่ามีของที่ดีมาก ๆ ราคาดันถูกมาก…และนี่คือโอกาสดีที่คุณจะได้ “หุ้นจีนคุณภาพ” ในราคา Super Sale ครับหากคุณเลือกการลงทุนแบบ Stock Selection ก็น่าสนใจครับ มีโอกาสได้ผลตอบแทนที่คุ้มมาก ๆ
ผมขอสะท้อนการลงทุนหุ้นรายตัว ผ่านผลตอบแทนจาก Jitta Ranking หุ้นจีน +20.96% Jitta Ranking หุ้นเทคจีน +21.10% Jitta Ranking หุ้นฮ่องกง +16.24% ซึ่งชนะตลาดทั้งดัชนี CSI 300 ที่ +6.44% และ ดัชนี HSI +5.80%ซึ่งหุ้นรายตัวที่ Jitta Ranking ลงทุน ก็คัดเลือกมาจาก Jitta.com เหมือนกันครับ
แต่ถ้าคุณยังไม่มั่นใจในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจก็แนะนำให้ลงทุนอย่างระมัดระวัง และวิธีที่ดีที่สุดในการลงทุน ก็คือ การถัวเฉลี่ยหรือ DCA ครับ ซึ่งเป็นเครื่องมือช่วยลดความเสี่ยงยามตลาดผันผวนแต่หากใครอยากจัดสัดส่วนลงทุนก็ควรจะเริ่มจากน้อย ๆ สัก 5% หรือ 10-15% ของพอร์ต ผมหวังว่า คุณจะเริ่มทำการบ้านและตัดสินใจลงทุน คว้าให้ทันก่อนมังกรทะยานนะครับ และขอย้ำว่าสัดส่วนการลงทุนใด ๆ ก็ควรอยู่ในระดับความเสี่ยงที่รับไหวนะครับ
และอีกกลยุทธ์กระจายการลงทุนในหลายสินทรัพย์ หลายภูมิภาคและอุตสาหกรรมต่าง ๆ และตราสารหนี้ จะเป็นตัวช่วยลดความผันผวนได้ดีในสภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนและภาวะเงินเฟ้อที่ปรับตัวลงช้า ซึ่งเป็นตัวแปรที่ไม่มีใครควบคุมได้
แต่การเลือกลงทุนในสินทรัพย์คุณภาพดีจะเป็นปัจจัยเดียวที่คุณสามารถควบคุมได้ และจะพาพอร์ตของคุณแกร่งพร้อมสร้างผลตอบแทนเติบโตในระยะยาวขอให้ทุกคนประสบความสำเร็จตามเป้าหมายการลงทุนนะครับ