ส.ประกันวินาศภัยเผยยอดเบี้ยประกันนาข้าวรอบปี’60 แตะ 2.2 พันล้านบาท ชี้ประกันนาข้าวไทยรุ่ง ติดท็อปไฟฟ์ในภูมิภาคเอเชีย คาด 5 ปีข้างหน้า ปั๊มเบี้ยพุ่งถึง 5 พันล้านบาท ฟากรีอินชัวเรอร์เผยไทยสถิติข้อมูลแค่ 5 ปี ไม่สามารถชี้วัดการคิด “ค่าเบี้ย” ได้เหมาะสม ระบุหลักคำนวณต้องใช้ข้อมูล 10 ปีขึ้นไป สะท้อนเบี้ยและจุดคุ้มทุน
นายกี่เดช อนันต์ศิริประภา ผู้อำนวยการบริหาร สมาคมประกันวินาศภัยไทย เปิดเผยว่า ล่าสุดเบี้ยรับประกันภัยข้าวนาปีของรอบปี 2560 อยู่ที่ 2.2 พัน ล้านบาท หรือ 1.2% ของเบี้ยประกันวินาศภัยทั้งอุตสาหกรรม 2.2 แสนล้านบาท ซึ่งไทยใช้ระยะเวลาเพียง 1-2 ปี ก็สามารถติดอยู่ใน 5 อันดับต้น (ท็อปไฟฟ์) ของประเทศในภูมิภาคเอเชียที่มีเบี้ยประกันนาข้าวมากที่สุด และคาดว่าภายใน 3-5 ปีข้างหน้า จะมียอดเบี้ยประกันนาข้าวเพิ่มเป็น 4-5 พันล้านบาท ขยับสัดส่วนเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 3% จากปัจจัยหนุนที่รัฐบาลผลักดันโครงการประกันพืชผลทางการเกษตรที่หลากหลายมากขึ้น
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- บังคับใช้แล้ว! หลักเกณฑ์การดำเนินงาน 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว
- กีรติ รัชโน ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เสียชีวิต อายุ 56 ปี
“การบูรณาการระหว่างภาครัฐและเอกชนจะช่วยทำให้เบี้ยประกันขยายตัวเพิ่มขึ้น และสามารถแข่งขันกับประเทศอื่น ๆ ได้ โดยเฉพาะเกาหลีใต้ที่มีเบี้ยประกันนาข้าวเกือบ 2 หมื่นล้านบาท จากการเพาะปลูกทั้ง 2 ฤดูกาล (นาปรัง-นาปี) ซึ่งปัจจุบันเกาหลีใต้มีฐานข้อมูลสถิติการรับประกันภัยนาข้าวมากกว่า 40-50 ปี ทำให้สมาคมได้เตรียมไปศึกษาเรียนรู้โมเดลประกันภัยพืชผลของเกาหลีใต้ช่วงเดือน ก.ค. 61 นี้ เพื่อหาแนวทางกลับมาพัฒนาโปรดักต์ประกันพืชผลทางการเกษตรของไทยต่อไป” นายกี่เดชกล่าว
ด้านนายคริสโตเฟอร์ โคล หัวหน้าแผนกประกันภัยทางการเกษตร ภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก/AON Benfield APAC London (เอออน เบนฟิลฯ) ซึ่งเป็นบริษัทนายหน้ารับประกันภัยต่อจากต่างประเทศ เปิดเผยว่า ปัจจุบันฐานข้อมูลสถิติ (ดาต้า) การรับประกันภัยข้าวนาปีของไทยมีเพียง 4-5 ปีเท่านั้น ถึงแม้ว่าในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา มีการขยายพื้นที่รับประกันนาข้าวเพิ่มขึ้นถึง 25 ล้านไร่ แต่เอออน เบนฟิลฯ ประเมินว่า ประเทศไทยยังมีความจำเป็นที่จะต้องเก็บข้อมูลสถิติอย่างน้อย 10 ปี จึงจะสามารถนำข้อมูลสถิติมาคำนวณอัตราเบี้ยประกันภัยได้อย่างเหมาะสม และเป็นธรรมกับเกษตรกร และด้านบริษัทประกันภัยก็สามารถวิเคราะห์จุดคุ้มทุนได้อย่างชัดเจน
“เราไม่อาจนำสถิติข้อมูลมาคำนวณเบี้ยเป็นรายปีได้ เช่น เมื่อปีที่แล้วขาดทุนหนักเคลมประกันข้าวนาปีเกือบ 99.99% หรือคิดเป็นเบี้ยเกือบ 2,000 ล้านบาท แต่ปีก่อนหน้ากลับมีกำไร เพราะฉะนั้น ต้องใช้ฐานข้อมูลอย่างต่ำเป็น 10 ปี ถึงจะชี้วัด (จุดคุ้มทุน) ได้” นายคริสโตเฟอร์ โคล กล่าว
ทั้งนี้ ปัจจุบันสัดส่วนข้อมูลในการรับประกันภัยข้าวของไทยที่มีน้อย เพราะว่าบริษัทประกันวินาศภัยและบริษัทประกันภัยต่อ (รีอินชัวเรอร์) ยังไม่ได้เข้าไปรับประกันโครงการข้าวนาปรัง เพราะฉะนั้น การเข้าถึงข้อมูลหรือสถิติที่มากขึ้น อาจจะต้องเข้าไปรับประกันพืชผลทางการเกษตรอื่น ๆ ตามนโยบายรัฐบาลไทย เช่น ข้าวโพด, มันสำปะหลัง, ลำไย, ทุเรียน เป็นต้น เพื่อไม่ให้เป็นการกระจุกตัวและสามารถช่วยกระจายความเสี่ยงได้ดียิ่งขึ้น
นายคริสโตเฟอร์ โคล กล่าวด้วยว่า ในปี 2561 นี้ มีบริษัทประกันภัยต่อ สนใจเข้าร่วมรับประกันโครงการประกันภัยข้าวนาปี จำนวนทั้งสิ้น 16 ราย ส่วนใหญ่เป็นบริษัทในยุโรปและอเมริกา เนื่องจากมีขีดความสามารถในการรับประกันค่อนข้างมาก และเชี่ยวชาญในการรับประกันภัยทางการเกษตรเป็นหลัก
นางคนึงนิจ สุจิตจร ผู้ช่วยเลขาธิการสายกำกับผลิตภัณฑ์ประกันภัย สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า ข้อมูลสถิติการรับประกันภัยข้าวนาปีตามแนวโน้มที่เอออน เบนฟิลฯ ระบุไว้นั้นถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้มองเห็นวัฏจักร (cycle) ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้
“เรามองว่าช่วงเริ่มต้นการปรับเบี้ยประกันให้เหมาะสม อาจจะต้องใช้สถิติข้อมูลตั้งแต่ 5-10 ปีขึ้นไปก่อน แล้วแต่แบบประกันภัย โดยพื้นฐานหากไม่มีข้อมูลสถิติ จะต้องตั้งสมมุติฐานขึ้นมาเพื่อปรับเบี้ยเป็นระยะ ๆ หรือไม่ก็เก็บข้อมูลสถิติปีต่อปีมาคำนวณเบี้ยอีกที ซึ่ง คปภ.ก็เปิดให้บางแบบประกันสามารถพิจารณาเบี้ยตามสมมุติฐานที่เหมาะสม หรือเปรียบเทียบข้อมูลสถิติใกล้เคียงได้” นางคนึงนิจกล่าว