MAGURO เข้าเทรด 5 มิ.ย. (พรุ่งนี้) ราคาหุ้นไอพีโอ 15.90 บาท

“มากุโระ กรุ๊ป” ธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่นและเกาหลีระดับพรีเมี่ยม-แมส เข้าซื้อขายวันแรก 5 มิ.ย. 67 ในตลาดหลักทรัพย์ mai ด้วยราคาไอพีโอ 15.90 บาท นำเงินระดมทุนใช้เปิดสาขาใหม่ปีนี้ไม่น้อยกว่า 11 สาขา ปรับปรุงสาขาเดิมและครัวกลาง ดึงระบบ IT รองรับการขยายตัวของจำนวนสาขาของบริษัทในอนาคต เป็นเงินทุนหมุนเวียน ฟาก “6 โบรกเกอร์” ให้ราคาเป้าหมาย 21.40-25 บาท สะท้อนพื้นฐานแกร่ง โอกาสเติบโตสูง

วันที่ 4 มิถุนายน 2567 นายสมภพ กีระสุนทรพงษ์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญ เปิดเผยว่า ในการเสนอขายหุ้นสามัญของบริษัท มากุโระ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น MAGURO จำนวนไม่เกิน 34,060,200 หุ้น ระหว่างวันที่ 28-30 พฤษภาคม 2567 มีนักลงทุนให้ความสนใจจองซื้อเข้ามาเป็นจำนวนมาก

ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีนักลงทุนสถาบัน 3 ราย ซึ่งมีความสนใจในหุ้นของ MAGURO และได้ติดต่อผู้ร่วมก่อตั้งทั้ง 4 ราย เพื่อซื้อหุ้นในส่วนที่เหลือจากการติด Silent Period รวมจำนวน 5.61 ล้านหุ้น ในราคาเดียวกับราคาที่เสนอขายแก่ประชาชนทั่วไป

โดยจะดำเนินการซื้อขาย ผ่านกระดาน Big Lot ในช่วงเปิดตลาดการซื้อขายวันแรก สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อ MAGURO ได้เป็นอย่างดี และการกำหนดราคา IPO ที่ราคาเสนอขายหุ้นละ 15.90 บาท ถือเป็นระดับราคาที่เหมาะสม โดยบทวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำรวม 6 บริษัทหลักทรัพย์ ที่จัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย ให้มูลค่าเป้าหมายของ MAGURO ปี 2567 อยู่ที่ 21.40-25 บาท

อีกทั้งเพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนในการเข้ามาซื้อขาย นักลงทุนสถาบันทั้ง 3 ราย ร่วมกับ Holistic Impact Pte. Ltd. ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นเดิมที่ยังคงถือหุ้นในบริษัท ยังได้ทำข้อตกลงไม่จำหน่ายหุ้นที่ตนถืออยู่เป็นเวลา 3 เดือน นับตั้งแต่วันที่เริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ดังนั้นเมื่อนับรวมกับหุ้นที่ถูกติด Silent Period ตามข้อบังคับของตลาดหลักทรัพย์แล้ว จะมีหุ้นที่ถูกห้ามขายรวมเป็นจำนวนกว่า 72.97% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดของบริษัท

นางสาวจิรยง อนุมานราชธน กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจย์ แคปปิตอล แอดไวเซอรี จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน เปิดเผยถึงความเชื่อมั่นว่า MAGURO จะเป็นหุ้นน้องใหม่ในตลาด mai ที่สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุน เนื่องจากเป็นบริษัทที่มีพื้นฐานแข็งแกร่งทั้งทางด้านการเติบโตและฐานะทางการเงิน จากการบริหารธุรกิจด้วยความเชี่ยวชาญและมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์ประสบการณ์ที่ดีให้แก่ลูกค้า อีกทั้งไม่มีหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ย ทำให้สามารถต่อยอดทางธุรกิจได้เป็นอย่างดีในอนาคต

ADVERTISMENT

นายเอกฤกษ์ แสงเสรีดำรง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท มากุโระ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทพร้อมเข้าซื้อขายเป็นวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในวันที่ 5 มิถุนายน 2567 ในหมวดเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร (AGRO) โดยใช้ชื่อย่อหลักทรัพย์ว่า “MAGURO” ซึ่งนับเป็นอีกก้าวสำคัญสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน และพร้อมขยายการเติบโต ต่อยอดธุรกิจได้ตามเป้าหมายที่วางไว้

เอกฤกษ์ แสงเสรีดำรง
เอกฤกษ์ แสงเสรีดำรง

โดยภายหลังการระดมทุนครั้งนี้ บริษัทจะนำไปใช้ในการขยายธุรกิจ ด้วยการเปิดสาขาใหม่ในปี 2567 ไม่น้อยกว่า 11 สาขา ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล รวมทั้งปรับปรุงสาขาเดิมและครัวกลาง ตลอดจนระบบ IT เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และรองรับการขยายตัวของจำนวนสาขาของบริษัทในอนาคต รวมถึงเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงาน ซึ่งจะช่วยให้บริษัทขยายกิจการได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง

ADVERTISMENT

“ผมมั่นใจว่าเราจะได้รับการต้อนรับที่อบอุ่นจากนักลงทุน ด้วยพื้นฐานที่แข็งแกร่งของบริษัท โดยในแง่ของการเป็นผู้ประกอบธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่น-เกาหลี เราได้รับการยอมรับจากลูกค้ามายาวนานกว่า 9 ปี ส่งผลให้ผลการดำเนินงานของบริษัทมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง

ซึ่งต่อจากนี้บริษัทจะเดินหน้าพัฒนาธุรกิจด้วยความมุ่งมั่นที่จะส่งมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้บริโภค ภายใต้ปรัชญา ‘การให้มากกว่าที่ขอ หรือ Give More’ ที่ได้ยึดถือเป็นแนวทางในการดำเนินธุรกิจมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งกับลูกค้า คู่ค้า พันธมิตรทางธุรกิจ ตลอดจนผู้ถือหุ้น และผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย เพื่อสร้างธุรกิจที่เติบโตอย่างแข็งแรงและยั่งยืน สามารถต่อยอดธุรกิจให้เติบโตได้อย่างต่อเนื่องในอนาคต เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่นักลงทุนในระยะยาว”

สำหรับ MAGURO ประกอบธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่นและเกาหลีระดับพรีเมี่ยมแมส (Premium Mass) ภายใต้ปรัชญา “การให้มากกว่าที่ขอ (Give More)” โดย ณ วันที่ 30 เมษายน 2567 มีร้านอาหารภายในเครือทั้งหมด 3 แบรนด์ รวมจำนวน 27 สาขา ได้แก่ 1.ร้านซูชิและอาหารญี่ปุ่นระดับพรีเมี่ยม “MAGURO” (มากุโระ) จำนวน 14 สาขา 2.ร้านปิ้งย่างเกาหลีพรีเมี่ยม “SSAMTHING TOGETHER” (ซัมติง ทูเก็ทเตอร์) จำนวน 6 สาขา

และ 3.ร้านอาหารชาบูและสุกียากี้สไตล์ญี่ปุ่นแบบต้นตำรับ “HITORI SHABU” (ฮิโตริ ชาบู) จำนวน 7 สาขา ครอบคลุมในกรุงเทพฯและปริมณฑล อีกทั้งยังมีธุรกิจรับจัดเลี้ยง ในรูปแบบของ Event Catering และ Office Lunchbox และมีบริการจัดส่งอาหารโดยตรง ภายใต้ชื่อ “MAGURO GO”

สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2566 มีรายได้รวม 1,045.81 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 57.06% และมีกำไร 72.48 ล้านบาท เติบโตสูงถึง 131.12% จากปีก่อนหน้า โดยมีนโยบายการจ่ายปันผลไม่ต่ำกว่าร้อยละ 40.00 ของกำไรสุทธิตามงบการเงินเฉพาะกิจการของบริษัท หลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคล และหลังหักสำรองต่าง ๆ