ฝากการบ้าน “อัสสเดช” แก้โจทย์ใหญ่ วิกฤตเชื่อมั่นตลาดหุ้น

อัสสเดช คงสิริ

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ได้ผู้จัดการคนใหม่ “อัสสเดช คงสิริ” ที่่ว่ากันว่าเป็น “มือดี” ที่คร่ำหวอดในวงการตลาดทุนมายาวนานกว่า 30 ปี โดยเฉพาะประสบการณ์ด้าน “วาณิชธนกิจ” ที่มากกว่า 20 ปี เข้ามารับไม้ต่อจาก “ภากร ปีตธวัชชัย” ที่กำลังจะหมดวาระการทำงานลงในเดือน ก.ย.นี้

โดยบอร์ดตลาดหลักทรัพย์ฯ ลงมติเลือก “อัสสเดช” ขึ้นแท่นเอ็มดี ตลท.คนใหม่ อย่างเป็น “เอกฉันท์” ไร้ข้อกังขาพร้อมกับกำหนดให้เริ่มงานล่วงหน้า ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. 2567 เพื่อเรียนรู้งาน และเตรียมการก่อนเข้ารับตำแหน่ง “กรรมการและผู้จัดการ” อย่างเป็นทางการในวันที่ 19 ก.ย. 2567

ซึ่งวาระการทำงาน 4 ปี นับจากนี้ “อัสสเดช” มีหลายภารกิจที่ต้องเข้ามาขับเคลื่อน เพื่อแก้โจทย์ “ตลาดหุ้นไทยไร้เสน่ห์” เห็นได้จากปีนี้ ผ่านมาไม่ถึงครึ่งปี นักลงทุนต่างชาติกระหน่ำขายสุทธิหุ้นไทยไปแล้ว 100,000 ล้านบาท

ประธานบอร์ด ตลท.ฝากโจทย์

“ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงษ์” ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์ฯ กล่าวว่า โจทย์แรกของผู้จัดการคนใหม่ ที่ต้องขับเคลื่อน คือ การสร้างความเชื่อมั่นให้กับตลาดหุ้นไทย ซึ่งสำคัญที่สุดในเวลานี้ เพราะหากความเชื่อมั่นกลับมา ตลาดหุ้นจะฟื้นตัวได้ โดยต้องร่วมทำงานกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ในการจัดการปัญหาที่ค้างคาอยู่ และเดินหน้าบังคับใช้กฎหมายกับผู้กระทำผิดในตลาดทุน ที่รวดเร็วขึ้น มีบทลงโทษที่เข้มงวดยิ่งขึ้น

“ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะใช้กระบวนการ AI หรือเทคโนโลยีในการเข้ามาตรวจสอบ วิเคราะห์ การซื้อขายหุ้นที่ผิดปกติ ซึ่งทดสอบแล้ว น่าสนใจมาก เพราะพบข้อมูลอย่างรวดเร็ว และตลาดหลักทรัพย์ฯ จะนำข้อมูลนี้แชร์ให้กับ ก.ล.ต. อย่างรวดเร็ว เพื่อจัดการผู้กระทำผิด

นอกจากนี้ จะตั้งหน่วยงานพิเศษมาดู หรือเจาะงบการเงินของบริษัทจดทะเบียนที่มีปัญหาหรือคาดว่าจะมีปัญหา โดยใช้ทั้งระบบ Manual และ AI มอนิเตอร์งบการเงิน เพื่อเตือนผู้ลงทุนให้เห็นถึงความอันตรายของหุ้นที่มีปัญหา”

ADVERTISMENT

โดยผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ ต้องติดตามและประเมินผลมาตรการกำกับตลาดหุ้น ว่ามีผลช่วยทำให้ตลาดหุ้นฟื้นตัวได้หรือไม่ หากไม่ฟื้นก็ต้องปรับปรุงแก้ไข เช่น การควบคุมการซื้อขายหุ้นของกลุ่มโรบอตเทรด การเพิ่มให้ขายชอร์ตในทุกหลักทรัพย์ได้ที่ราคาที่สูงกว่าราคาซื้อขายครั้งสุดท้าย (Uptick) ซึ่งมาตรการนี้จะใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. 2567

“ด้านแผนระยะยาว ก็ต้องพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เพิ่มเติม และหาบริษัทที่อยู่ในธุรกิจเป้าหมาย (New Economy) เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยให้มากขึ้น”

ADVERTISMENT

ไพบูลย์ แนะกล้าผลักดันสิ่งใหม่

ขณะที่ “ไพบูลย์ นลินทรางกูร” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด ในฐานะนายกสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA) และกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) กล่าวว่า ตนขอฝากผู้จัดการคนใหม่ 4 เรื่องด้วยกัน คือ 1.ต้องจัดการโครงสร้างพื้นฐานตลาดทุนไทย โดยหาบริษัทที่เป็นเศรษฐกิจยุคใหม่ หรือเกี่ยวข้องกับการขยายตัวของเศรษฐกิจ ที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในอนาคตเข้ามาจดทะเบียนให้มากขึ้น

“อย่างบริษัทที่เป็น New S-curve บริษัทที่ตรงกับนโยบายของรัฐบาล หรือแม้กระทั่งบริษัทต่างชาติที่ประกอบธุรกิจในประเทศไทย เช่น พวกยานยนต์ไฟฟ้า (EV) เป็นต้น เพื่อช่วยสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุน และทำให้ตลาดหุ้นไทยสามารถแข่งขันได้”

2.ต้องมีแผนงานที่จะเพิ่มปริมาณคนที่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย จากที่ผ่านมา นักลงทุนไทยแทบจะไม่เพิ่มขึ้น โดยปัจจุบันนักลงทุนรายย่อยมีอยู่กว่า 2 ล้านคน ถือว่าเป็นระดับที่ยังไม่แข็งแรง

3.ต้องคิดวิธีดึงดูดให้นักลงทุนต่างชาติที่ลงทุนระยะยาวกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย จากที่ผ่านมาได้สูญเสียนักลงทุนกลุ่มนี้ไปค่อนข้างมาก จากภาพตลาดหุ้นไทยไม่เพอร์ฟอร์ม ที่มีอยู่ส่วนใหญ่จะเป็นประเภทโปรแกรมทรดดิ้งซึ่งเป็นนักลงทุนระยะสั้น

4.ต้องทำงานควบคู่ไปกับ ก.ล.ต. และกระทรวงการคลัง ในการผลักดันสิ่งต่าง ๆ ที่กล่าวมาข้างต้นให้เกิดขึ้น เพราะหลาย ๆ นโยบายตลาดหลักทรัพย์ฯ ทำเองไม่ได้

“บางทีตลาดหลักทรัพย์ฯ อาจจะมีความคิดที่ดี แต่ถ้าไม่สามารถประสานงานกับ ก.ล.ต. และกระทรวงการคลังได้ก็ทำให้เกิดขึ้นไม่ได้ และที่สำคัญจะต้องมีความกล้าหาญที่จะผลักดันสิ่งใหม่ ๆ”

นอกจากนี้ เรื่อง Trust and Confidence ก็มีทั้งเรื่องของจัดการไม่ให้มีใครมาทำตุกติก ปั่นหุ้น ทำบัญชีเท็จ แต่อย่าออกมาตรการเหวี่ยงแห เพราะจะทำให้กระทบกันไปหมด เนื่องจากมีแค่ส่วนเล็กที่เป็นปัญหาเท่านั้น

“ผู้จัดการคนใหม่ ต้องเข้าใจกลไกซื้อขายหุ้น ถ้าเห็นภาพและมีความเข้าใจก็จะไม่ต้องไปเปลี่ยนกฎเกณฑ์อะไรที่เป็นมาตรฐานสากลอยู่แล้ว เพราะการเปลี่ยนเกณฑ์บางทียิ่งถอยหลังเข้าคลอง ฉะนั้นต้องพิจารณากฎเกณฑ์ให้ดี”

ฝากปรับมาตรการให้ยืดหยุ่น

ฟาก “ประกิต สิริวัฒนเกตุ” กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ จำกัด กล่าวว่า เชื่อว่าผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ คนใหม่ จะช่วยทำให้ตลาดหุ้นไทยดีขึ้นได้ ด้วยความรู้ความสามารถ ที่ได้รับการยอมรับ ทั้งนี้ อยากฝากเรื่องการยืดหยุ่นในการปรับนโยบาย เนื่องจากจะเห็นได้ว่าตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา มาตรการหรือเครื่องมือของตลาดหลักทรัพย์ฯ มีเยอะและครอบคลุม แต่ความยืดหยุ่นในการที่จะเพิ่มและลดการบังคับใช้มีน้อย

“มาตรการต่าง ๆ ควรยืดหยุ่นมากกว่านี้ บางช่วงเวลาสามารถเพิ่มความเข้มข้นได้ บางช่วงสามารถยกเลิกได้ ที่ผ่านมาอาจจะมีการมองว่า การยกเลิกหรือเพิ่มมาตรการก่อนนั้น ยังไม่จำเป็น ซึ่งจะเห็นได้ว่า มันกลายเป็นความล่าช้า และนำมาซึ่งความเสียงหายอย่างรุนแรง โดยเฉพาะความล่าช้าในรอบปัจจุบัน อย่าง Market Cap หรือมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด จาก 19 ล้านล้านบาท ตอนนี้ลดลงเหลือเพียง 15 ล้านล้านบาท”

ทั้งหมดนี้ เป็น “การบ้านข้อใหญ่” ที่รอให้ “ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ” คนใหม่เข้ามาทำ