
วิจัยกรุงศรี มองปัจจัยการเมืองในประเทศฉุดความเชื่อมั่นผู้บริโภค คาด กนง.คงดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.50% ต่อปี ในช่วงที่เหลือของปีนี้ หลังเศรษฐกิจส่งสัญญาณดีขึ้น-เงินเฟ้อกลับเข้ากรอบ
วันที่ 18 มิถุนายน 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วิจัยกรุงศรี ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ระบุว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) คงดอกเบี้ยด้วยมติไม่เป็นเอกฉันท์ ชี้เป็นระดับที่สอดคล้องกับการขยายตัวของเศรษฐกิจที่โน้มเข้าสู่ศักยภาพ
โดยการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 12 มิถุนายน มีมติ 6 ต่อ 1 คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.50% โดยประเมินเศรษฐกิจไทยในปีนี้จะขยายตัวต่อเนื่องจาก 1.แรงส่งจากอุปสงค์ในประเทศที่สูงกว่าคาดในไตรมาสแรก 2.การท่องเที่ยวฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง และ 3.การเร่งเบิกจ่ายภาครัฐตั้งแต่ไตรมาส 2
อย่างไรก็ตาม การส่งออกจะยังเติบโตต่ำเนื่องจากปัญหาด้านโครงสร้างและความสามารถในการแข่งขันที่ลดลง ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานมีแนวโน้มทรงตัวใกล้เคียงกับคาดการณ์เดิม ด้านกรรมการ 1 ท่าน (จาก 2 ท่าน ในการประชุม 2 ครั้งที่ผ่านมา) เห็นควรให้ปรับลดดอกเบี้ย 0.25% เพื่อให้สอดคล้องกับศักยภาพการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ต่ำลงจากปัจจัยเชิงโครงสร้าง
จากพัฒนาการทางเศรษฐกิจและท่าทีของ ธปท.ล่าสุด วิจัยกรุงศรีประเมินอัตราดอกเบี้ยนโยบายมีแนวโน้มที่จะถูกคงไว้ที่ระดับ 2.50% ตลอดในช่วงที่เหลือของปีนี้ ปัจจัยหนุนจาก 1.การเติบโตของ GDP มีแนวโน้มปรับดีขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 2 และ ธปท.คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายในไตรมาส 4 ปีนี้
2.ความกังวลของ ธปท.เกี่ยวกับเสถียรภาพทางการเงิน โดยเฉพาะหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง 3.แม้เศรษฐกิจยังเติบโตต่ำกว่าศักยภาพ แต่ ธปท.ยืนยันมุมมองว่ายังไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญต่อระดับของอัตราดอกเบี้ยที่เป็นกลาง (Neutral Rate) และยังระบุว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายปัจจุบันสอดคล้องกับเศรษฐกิจที่โน้มเข้าสู่ระดับศักยภาพ
และ 4.ที่ผ่านมาธนาคารพาณิชย์และ SFIs ปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้ให้แก่ลูกค้ากลุ่มเปราะบาง สอดคล้องกับมุมมองของ ธปท.ที่สนับสนุนการออกมาตรการที่เฉพาะกลุ่มเป้าหมาย (Targeted Policy) เช่น เพิ่มการเข้าถึงสินเชื่อสำหรับ SMEs และช่วยเหลือการลดหนี้ของครัวเรือน เป็นต้น ซึ่งสะท้อนว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในวงกว้างหรือการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายมีความจำเป็นลดลง
การบริโภคภาคเอกชนมีสัญญาณชะลอลงจากดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 7 เดือน ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือนพฤษภาคมปรับลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 สู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2566 ที่ 60.5 จาก 62.1 ในเดือนเมษายน เนื่องจากผู้บริโภคมีความกังวลเกี่ยวกับ 1.ความไม่แน่นอนของสถานการณ์การเมืองในประเทศ หลังศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องของ 40 สว. ต่อคุณสมบัติของนายกรัฐมนตรี
2.ภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่เติบโตต่ำและฟื้นตัวช้า 3.ราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศที่ปรับสูงขึ้น และ 4.ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ยืดเยื้ออาจเพิ่มความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจโลกและไทย
ความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่อ่อนแอลง สะท้อนว่าแรงส่งจากการบริโภคภาคเอกชนที่เติบโตสูงในไตรมาสแรก (+6.9% YOY) มีแนวโน้มขยายตัวชะลอลงในช่วงที่เหลือของปี โดยการใช้จ่ายคาดว่าจะมีปัจจัยหนุนจาก 1.การเติบโตของภาคท่องเที่ยว ล่าสุดทางการออกมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายผ่านการท่องเที่ยวในประเทศ โดยเน้นท่องเที่ยวเมืองรอง
2.มาตรการบรรเทาค่าครองชีพด้านพลังงาน อาทิ ค่าไฟฟ้าสำหรับครัวเรือนรายได้น้อย 3.การปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้เพื่อช่วยเหลือลูกค้ากลุ่มเปราะบาง และ 4.การสิ้นสุดภาวะเอลนีโญในช่วงกลางปีอาจช่วยหนุนรายได้เกษตรกร อย่างไรก็ตาม ปัญหาเชิงโครงสร้างจากภาระหนี้ครัวเรือนระดับสูงจะยังเป็นข้อจำกัดของการเติบโตของการบริโภคในระยะต่อไป