
ดอลลาร์เคลื่อนไหวในกรอบจำกัด รอปัจจัยใหม่ชี้นำ หลังผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐปรับตัวลงสู่ระดับ 65.6 ในเดือน มิ.ย. ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ ขณะที่ปัจจัยในประเทศยังต้องเกาะติดคดีการเมือง เหตุส่งผลสะเทือนต่อความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ
วันที่ 21 มิถุนายน 2567 ฝ่ายค้าเงินตราต่างประเทศ ธนาคารกรุงเทพ รายงานว่า ภาวการณ์เคลื่อนไหวของตลาดปริวรรตเงินตราประจำวันที่ 17-21 มิถุนายน 2567 ค่าเงินบาทเปิดตลาดวันจันทร์ (17/6) ที่ระดับ 36.67/68 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าขึ้นเล็กน้อยจากระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (14/6) ที่ระดับ 36.74/76 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
โดยเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ค่าเงินดอลลาร์ปรับตัวแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก เนื่องจากนักลงทุนพากันถือครองดอลลาร์ในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองในฝรั่งเศส ก่อนที่ค่าเงินดอลลาร์จะปรับตัวอ่อนค่าลง หลังถูกกดดันจากผลสำรวจความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐที่ลดลงต่ำกว่าคาดในเดือน มิ.ย.
ดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐเดือน มิ.ย.ปรับลดลง
โดยผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐปรับตัวลงสู่ระดับ 65.6 ในเดือน มิ.ย. และต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 71.5 จากระดับ 69.1 ในเดือน พ.ค. แต่อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้น 3.3% ในช่วง 1 ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือน พ.ย. 2566
ขณะที่กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยยอดค้าปลีก (18/96) ปรับตัวขึ้น 0.1% ในเดือน พ.ค. เมื่อเทียบรายเดือน ต่ำกว่าระดับคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 0.3% หลังจากปรับตัวลง 0.2% ในเดือน เม.ย. และมีการเปิดเผยว่า สต๊อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเพิ่มขึ้น 0.6% ในเดือน เม.ย. เมื่อเทียบรายเดือน สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ หลังจากลดลง 0.1% ในเดือน มี.ค.
นอกจากนี้ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้มีการเปิดเผยว่า การผลิตภาคอุตสาหกรรมโดยรวมของสหรัฐปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.9% ในเดือน พ.ค. เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากไม่เปลี่ยนแปลงในเดือน เม.ย. หรือปรับตัวขึ้น 0.0% และเพิ่มขึ้น 0.4% เมื่อเทียบรายปี
นอกจากนี้ สมาคมผู้สร้างบ้านแห่งชาติ (NNHB) ของสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้สร้างบ้านลดลง 2 จุดสู่ระดับ 43 ในเดือน มิ.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดรับตั้งแต่เดือน ม.ค. และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 46 โดยดัชนีความเชื่อมั่นได้รับผลกระทบจากการปรับตัวขึ้นของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนอง
ทั้งนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นปรับตัวต่ำกว่าระดับ 50 บ่งชี้ถึงมุมมองทั่วไปที่เป็นลบ ขณะเดียวกันสมาคมนายธนาคารเพื่อการจำนอง (NBA) ของสหรัฐ เผยว่า จำนวนผู้ยื่นขอสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นในสัปดาที่แล้ว หลังอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนองปรับตัวลง โดยจำนวนผู้ยื่นขอสินเชื่อเพื่อการซื้อที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น 1.6% ในสัปดาห์ที่แล้ว สู่ระดับสูงสุดตั้งแต่เดือน มี.ค. อัตราดอกเบี้ยเงินกู้เฉลี่ยเพื่อการจำนองแบบคงที่ระยะเวลา 30 ปี สำหรับวงเงินกู้ไม่เกิน 766,550 ดอลลาร์สหรัฐ ปรับตัวลงสู่ระดับ 6.94% จากระดับ 7.03% ในสัปดาห์ก่อนหน้า ซึ่งต่ำกว่าระดับ 7% เป็นครั้งแรก
ปัจจัยในประเทศ จับตา “คดีการเมือง”
สำหรับปัจจัยภายในประเทศคำร้องยุบพรรคก้าวไกลยังคงเป็นคดีที่จะต้องติดตาม โดยคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ส่งคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยสั่งยุบพรรคก้าวไกลและตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรค หลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยว่า การกระทำของพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และพรรคก้าวไกล ที่เสนอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา112 แล้วใช้เป็นนโยบายในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง เป็นการใช้สิทธิและเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ซึ่งล่าสุดศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ระบุพยานหลักฐานเพิ่มเติมต่อศาลภายใวันจันทร์ (17/6) และมีกำหนดนัดพิจารณาต่อไปในวันอังคาร (18/6) ซึ่งอาจจะกระทบต่อค่าเงินบาทให้เคลื่อนไหวผันผวนในระยะสั้นได้
ทั้งนี้ ศาลอาญาอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว นายทักษิณ ชินวัตร ผู้ต้องหาคดี ม.112 ภายหลังทนายยื่นหลักทรัพย์ขอปล่อยตัวชั่วคราว วงเงิน 500,000 บาท พร้อมยึดหนังสือเดินทางและหลักประกันทำสัญญาห้ามจำเลยเดินทางออกนอกราชอาณาจักร ศาลนัดตรวจหลักฐานอีกครั้งในวันที่ 19 ส.ค.
นอกจากนี้ ศาลรัฐธรรมนูญนัดพิจารณา คดี 40 สว.ยื่นถอดถอนนายกฯเศรษฐา ทวีสิน 10 ก.ค.นี้ โดยความไม่แน่นอนของสถานการณ์การเมืองในประเทศดังกล่าว สะเทือนถึงความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชน มีสัญญาณชะลอลงจากดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 7 เดือน
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือนพฤษภาคมปรับลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 สู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2566 ที่ 60.5 จาก 62.1 ในเดือน เม.ย. เนื่องจากผู้บริโภคมีความกังวล เสถียรภาพทางการเมือง ทั้งนี้ ระหว่างสัปดาห์ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 36.66-36.83 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ และปิดตลาดในวันศุกร์ (21/6) ที่ระดับ 36.63/65 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
ธนาคารกลางจีนคงอัตราดอกเบี้ย
ขณะที่ปัจจัยในภูมิภาค ธนาคารกลางจีน (PBOC) ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ะยะกลาง (MLF) ระยะ 1 ปี ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของจีนไว้ที่ระดับ 2.50% ในวันจันทร์ (17/6) สอดคล้องกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ โดยธนาคารกลางจีนได้คงอัตราดอกเบี้ย MLF ติดต่อกันเป็นเดือนที่ 10 ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าธนาคารกลางมีความระมัดระวังในการดำเนินนโยบายผ่อนคลายทางการเงิน เมื่อพิจารณาจากสภาพคล่องในระบบที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก รวมทั้งการที่ธนาคารกลางเผชิญกับแรงกดดันในการปกป้องเงินหยวนไม่ให้อ่อนค่าลงอีก
นอกจากนั้น ในวันศุกร์จีนประกาศคงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดี (LPR) ประเภท 1 ปีและ 5 ปี โดยดอกเบี้ย LPR ประเภท 1 ปีของจีนเป็นอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงในการกำหนดอัราดอกเบี้ยเงินกู้ระยะสั้น ส่วนอัตราดอกเบี้ย LPR ประเภท 5 ปี เป็นอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงในการกำหนดอัตราดอกเบี้ยระยะยาว เช่น อัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนอง ทั้งนี้ ในปัจจุบัน อัตราดอกเบี้ย LPR ประเภท 1 ปีของจีนอยู่ที่ระดับ 3.45% และ LPR ประเภท 5 ปีอยู่ที่ระดับ 3.95%
สำหรับความเคลื่อนไหวของค่าเงินยูโร เปิดตลาดวันจันทร์ (17/6) ที่ระดับ 1.0699/1.0702 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร ค่อนข้างทรงตัวจากระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (14/6) ที่ระดับ 1.0690/92 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร ค่าเงินยูโรปรับตัวอ่อนค่าตั้งแต่สัปดาห์ที่ผ่านมาหลุดระดับ 1.0700 ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนทางการเมืองในฝรั่งเศส
ทั้งนี้ ผู้กำหนดนโยบายของธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ไม่มีแผนการที่จะหารือกันเรื่องการเข้าซื้อพันธบัตรฝรั่งเศสอย่างฉุกเฉิน และอีซีบียังมองว่าเป็นหน้าที่ของนักการเมืองฝรั่งเศสในการสร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนเอง อย่างไรก็ดี ค่าเงินยูโรแข็งค่าขึ้นภายหลังนางมารีน เลอ เปน ผู้นำพรรคเนชั่นแนล แรลลี่ (National Rally) ซึ่งเป็นพรรคขวาจัด กล่าวว่า ตนพร้อมทำงานร่วมกับประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง หากพรรคคว้าชัยชนะในการเลือกตั้งในครั้งนี้
ซึ่งความเคลื่อนไหวของนางเลอ เปน ทำให้นักลงทุนคลายความวิตกกังวล หลังจาก ปธน.มาครงประกาศยุบสภาเมื่อวันที่ 9 มิ.ย. พร้อมกับจัดการเลือกตั้งใหม่ซึ่งจะมีขึ้น 2 รอบในวันที่ 30 มิ.ย. และ 7 ก.ค.
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการเปิดเผย ข้อมูลจากคณะกรรมาธิการยุโรป หรือ EC ซึ่งเป็นองค์กรบริหารของสหภาพยุโรป (EU) ระบุว่า อิตาลีเป็นประเทศที่มีการขาดดุลงบประมาณสูงสุดใน EU โดยอิตาลีมีการขาดดุลงบประมาณเทียบเท่ากับ 7.4% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือ GDP ขณะที่ฮังการีขาดดุล 6.7% ของ GDP อย่างไรก็ดี ค่าเฉลี่ยการขาดดุลงบประมาณของ EU อยู่ที่ระดับ 3.5% ของ GDP
สำหรับปัจจัยที่นักลงทุนให้ความสำคัญ ได้แก่ การประชุมกำหนดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางต่าง ๆ ในอังกฤษ นอร์เวย์ และสวิตเซอร์แลนด์ในสัปดาห์นี้ ทั้งนี้ ระหว่างสัปดาห์ค่าเงินยูโรเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 1.0868-1.0761 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร และปิดตลาดในวันศุกร์ (21/6) ที่ระดับ 1.0692/94 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร
บีโอเจไม่มั่นใจเงินเฟ้อจะแตะ 2% อย่างยั่งยืน
สำหรับการเคลื่อนไหวของค่าเงินเยน เปิดตลาดวันจันทร์ (21/6) ที่ระดับ 157.44/47 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ ทรงตัวเมื่อเทียบระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (14/6) ที่ระดับ 157.48/50 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ โดยนายอุเอดะที่กล่าวต่อรัฐสภาญี่ปุ่นในวันอังคาร (18/6) ซึ่งระบุว่า แม้ต้นทุนการนำเข้าที่เพิ่มขึ้นจากเงินเยนอ่อนค่าอาจส่งผลลกระทบต่อการใช้จ่ายของครัวเรือน แต่ค่าแรงที่เพิ่มขึ้นจะช่วยพยุงการบริโภคและทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวในระดับปานกลาง
โดยนายอุเอดะระบุว่า BOJ ยังไม่มั่นใจเต็มที่ว่าอัตราเงินเฟ้อจะแตะเป้าหมาย 2% อย่างยั่งยืนหรือไม่ จึงต้องใช้เวลาในการตรวจสอบข้อมูลก่อนที่จะขึ้่นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้ง ทั้งนี้ นายอุเอดะไม่ได้ให้สัญญาณใด ๆ เกี่ยวกับอัตราและขนาดของแผนการลดการซื้อพันธบัตรของ BOJ ซึ่งจะประกาศในเดือนหน้า
ทั้งนี้ BOJ เพิ่งเปิดเผยผลการประชุมกำหนดนโยบายประจำวันที่ 13-14 มิ.ย.ในวันศุกร์ (14/6) ที่ผ่านมา โดยระบุว่าบีโอเจจะยังคงเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นในอัตรา 6 ล้านล้านเยน (3.8 หมื่นล้านดอลลาร์) ต่อเดือนตามเดิมต่อไป อย่างไรก็ตาม BOJ จะวางแผนการอย่างละเอียดสำหรับการปรับลดขนาดการเข้าซื้อ JGB ลงสำหรับช่วง 1-2 ปีข้างหน้าในการประชุมกำหนดนโยบายครั้งถัดไปในวันที่ 30-31 ก.ค.
ทั้งนี้ การปรับลดขนาดการเข้าซื้อดังกล่าวจะนำไปสู่การปรับลดขนาดงบดุลของบีโอเจลงจากระดับ 5 ล้านล้านดอลลาร์ในปัจจุบัน และถือเป็นการดำเนินอีกขั้นตอนหนึ่งในการปรับลดขนาดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ นอกจากนี้ยังระบุว่า กรรมการบริหารของ BOJ ได้หารือกันเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่จะเร่งกระบวนการปรับนโยบายการเงินสู่ระดับปกติให้เร็วขึ้น เนื่องจากการอ่อนค่าของเงินเยนมีความเสี่ยงต่อเงินเฟ้อและอาจจะทำให้ BOJ ต้องใช้มาตรการการรับมือ
โดยรายงานการประชุมดังกล่าวเป็นการส่งสัญญาณถึงความเป็นไปได้ที่ BOJ อาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างเร็วที่สุดในเดือน ก.ค. แม้ตลาดคาดการณ์ว่าโอกาสที่ BOJ จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมีน้อยลง โดยตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญของญี่ปุ่นที่มีการเปิดเผยออกมานั้น ยอดการส่งออกประจำเดือน พ.ค.ขยายตัวสู่ระดับ 13.5% เมื่อเทียบเป็นรายปี ขณะที่การนำเข้าในเดือนเดียวกันออกมาที่ระดับ 9.5% ทั้งนี้ ระหว่างสัปดาห์ค่าเงินเยนเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 167.14-159.12 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ และปิดตลาดในวันศุกร์ (21/6) ที่ระดับ 158.81/84 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ