อินฟลูเอนเซอร์ เสียภาษีอย่างไร ไม่ให้โดนย้อนหลัง

อินฟลูเอนเซอร์
บทความโดย “จิรพัชร์ เจริญวงษ์พิบูล” 
ที่ปรึกษาการเงิน AFPT สมาคมนักวางแผนการเงินไทย

วันที่ 25 มิถุนายน 2567 ในยุคดิจิทัล “อินฟลูเอนเซอร์” ถือเป็นอาชีพที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ไม่ว่าเพศใด หรือช่วงวัยไหนก็สามารถผันตัวสู่อาชีพนี้ได้ และหลายคนสามารถสร้างรายได้จำนวนมหาศาลจากช่องทางรีวิวสินค้า โปรโมตแบรนด์ หรือสร้างคอนเทนต์ต่าง บนโลกออนไลน์ ซึ่งความสำเร็จชั่วข้ามคืน อาจทำให้เกิดอาการหลงลืมเรื่องภาษีไปได้

ความจริงแล้วอินฟลูเอนเซอร์ก็มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเช่นเดียวกับอาชีพอื่นทั่วไป ดังนั้น จึงควรวางแผนภาษีอย่างถูกต้อง เพื่อป้องกันปัญหาการโดนภาษีย้อนหลังในอนาคต

ทำความรู้จักรายได้และเงินได้แต่ละประเภทที่อินฟลูเอนเซอร์ต้องเสียภาษี

1. เงินได้ประเภท 40 (1)

สำหรับคนที่ได้รับค่าจ้างเป็นเงินเดือน มียอดเงินเข้าบัญชีทุกเดือนจากการเป็นพนักงานประจำของบริษัท

2. เงินได้ประเภท 40 (2)
  • รายได้จากการรับจ้างรีวิวสินค้า
  • การรับจ้างโปรโมตสินค้า หรือโปรโมตแบรนด์ให้กับผู้อื่น
  • การรับจ้างทำคอนเทนต์ให้กับแบรนด์หรือบริษัทต่าง ๆ
  • รายได้จากการทำ Affiliate Marketing
  • ค่าคอมมิชชั่นจากการแนะนำสินค้า โดยการโปรโมตสินค้าผ่านลิงก์
  • รายได้จากการออกอีเวนต์/โชว์ตัว/พรีเซ็นเตอร์
3. เงินได้ประเภท 40 (8)
  • รายได้จากการขายสินค้าแบรนด์ของตัเอง
  • รายได้จากการรับสินค้าราคาส่งจากร้านอื่นมาขายปลีกในร้านตัวเอง
  • รายได้จากของขวัญที่ได้รับจากการไลฟ์สด
  • รายได้จากการรับโดเนตในแพลตฟอร์มต่าง ๆ
  • รายได้จากการับค่าสมาชิก Youtube Subscription รายได้จากการเปิดรับบริจาคเงินค่าสนับสนุนการทำคอนเทนต์จากผู้ติดตาม
  • รายได้จากส่วนแบ่งค่าโฆษณา : รายได้จาก Google AdSense, YoutubeAdSense
  • รายได้จากการรับจ้างรีวิวสินค้าที่มีการลงทุนทางด้านเครื่องมือเครื่องใช้/มีลูกจ้าง/มีสำนักงาน มีค่าใช้จ่ายมาก
  • รายได้จากการออกอีเวนต์/โชว์ตัว/พรีเซ็นเตอร์ ที่มีการลงทุนทางด้านเครื่องมือเครื่องใช้/มีลูกจ้าง/มีสำนักงาน มีค่าใช้จ่ายมาก

ขั้นตอนการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของอินฟลูเอนเซอร์

ลองคำนวณ 2 วิธีดังนี้ แล้วนำมาเปรียบเทียบกัน จากนั้นให้เสียภาษีตามวิธีที่คำนวณได้มากกว่า

ADVERTISMENT

วิธีที่ 1 : คำนวณภาษีจากเงินได้สุทธิ

1.เงินได้พึงประเมิน – ค่าใช้จ่าย – ค่าลดหย่อน = เงินได้สุทธิ

ADVERTISMENT

2.เงินได้สุทธิ x อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา = ภาษีที่ต้องเสียในวิธีที่ 1

วิธีที่ 2 คำนวณภาษีจากเงินได้พึงประเมิน

1.เงินได้พึงประเมิน x 0.5% = ภาษีที่ต้องเสียในวิธีที่ 2

2.วิธีที่ 2 ใช้คำนวณเงินได้ประเภทที่ 2-8 ตั้งแต่ 120,000 บาทขึ้นไป

3. กรณีคำนวณตามวิธีที่ 2 แล้วมีภาษีชำระไม่เกิน 5,000 บาทจะได้รับยกเว้นภาษีจากการคำนวณตามวิธีที่ 2 แต่ยังต้องเสียภาษีตามวิธีที่ 1

ที่มา : กรมสรรพากร

การบริหารภาษีเงินได้สไตล์อินฟลูเอนเซอร์

สิ่งที่จำเป็นต้องรู้และต้องทำสำหรับอินฟลูเอนเซอร์ที่เป็นบุคคลธรรมดา

1. เลขประจำตัวประชาชน = เลขประจำตัวผู้เสียภาษีบุคคลธรรมดาสัญชาติไทย
2. จัดทำรายงานกระแสเงินสดและเก็บหลักฐานเอกสารเกี่ยวกับรายได้-รายจ่ายในการทำธุรกิจให้ดี
3. ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปีละ 2 ครั้ง คือ ภ.ง.ด.94  และ ภ.ง.ด.90 ณ สรรพากรพื้นที่สาขา หรือยื่นผ่านอินเอร์เน็ตได้ที่เว็บไซต์ www.rd.go.th
4. เมื่อมีรายได้จากการขายสินค้าและบริการรวมทั้งปีเกิน 1.8 ล้านบาท ให้ยื่นจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ภายใน 30 วัน นับตั้งแต่วันที่ยอดขายเกินหรือมีรายได้ถึงเกณฑ์ที่กำหนด

การยื่นภาษีของอินฟลูเอนเซอร์ ยื่นภาษีปีละ 2 ครั้ง

ครั้งที่ 1 : ภาษีครึ่งปี ภ.ง.ด.94

  • กำหนดยื่น 1 ก.ค.-30 ก.ย. ของปีนั้น
  • นำเงินได้ที่ไม่ใช่เงินได้ประเภท 40(1) และ (2) เดือน ม.ค.-มิ.ย. ของปีนั้นมาคำนวณภาษี

ครั้งที่ 2 : ภาษีประจำปี (ภ.ง.ด.90)

  • กำหนดยื่น 1 ม.ค.-31 ม.ค. ของปีถัดไป
  • นำเงินได้ทุกประเภท เดือน ม.ค.-ธ.ค. ของปีนั้นมารวมคำนวณภาษี และนำภาษีที่ชำระตาม ภ.ง.ด.94

มาเครดิตภาษีได้

วิธีวางแผนเตรียมรับมือเรื่องภาษีสำหรับอินฟลูเอนเซอร์

  1. จดบันทึกรายรับรายจ่ายอย่างละเอียด และจัดทำรายงานกระแสเงินสดรับ-จ่ายสำหรับธุรกิจ
  2. แยกบัญชีธนาคารสำหรับธุรกิจกับบัญชีส่วนตัวออกจากกัน
  3. เก็บใบเสร็จรับเงิน/ใบกำกับภาษี/หนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย และเอกสารอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับรายได้-รายจ่ายอย่างครบถ้วน
  4. ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับค่าลดหย่อนภาษี
  5. ปรึกษานักบัญชีหรือผู้เชี่ยวชาญด้านภาษี

การศึกษาข้อมูลเตรียมพร้อมรับมือเรื่องภาษี จะช่วยให้อินฟลูเอนเซอร์สามารถเสียภาษีได้อย่างถูกต้อง ป้องกันปัญหาที่อาจตามมา และยังช่วยให้ประหยัดภาษีได้อีกด้วย ควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับประเภทของรายได้ ประเภทของภาษี วิธีการเสียภาษี และอัตราภาษีที่เกี่ยวข้องให้ดี ที่สำคัญอย่าลืมเก็บเอกสารแสดงหลักฐานเกี่ยวกับรายได้และค่าใช้จ่ายอย่างครบถ้วน

เช่น ใบเสร็จรับเงิน ใบกำกับภาษี สัญญาจ้างงาน เป็นต้น และยื่นแบบแสดงรายการภาษีให้ครบถ้วน ตรงต่อเวลาอย่างถูกต้องสม่ำเสมอ หากกรณีมีประเภทของรายได้หลายช่องทางและมีความซับซ้อน ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษี เพื่อขอคำแนะนำและวางแผนภาษีให้เหมาะสมกับตนเอง