ทิสโก้ เปิด 3 ปัจจัยหนุน ตลาดหุ้นเกิดใหม่โดดเด่นกว่า S&P 500 ในไตรมาส 3/67

ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) ชี้ไตรมาส 3/2567 หุ้นตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) จะปรับขึ้นดีกว่าตลาดหุ้น S&P 500 จาก 3 ปัจจัยหนุน คือ เศรษฐกิจฟื้นตามโลก-ดอกเบี้ยขาลงกดดันดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า-จีนออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่อง 

วันที่ 25 มิถุนายน 2567 นายคมศร ประกอบผล หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) เปิดเผยว่า สำหรับมุมมองการลงทุนในไตรมาส 3/2567 TISCO ESU คาดว่าหุ้นตลาดเกิดใหม่ (TISCO ESU) จะกลับมาปรับตัวเพิ่มขึ้น และน่าสนใจกว่าตลาดหุ้นสหรัฐ เพราะได้รับปัจจัยหนุนจาก 3 ปัจจัย คือ 1.แนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจที่ดีขึ้น โดยนักเศรษฐศาสตร์เริ่มกลับมาปรับคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่เพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก

2.แนวโน้มการลดลงของอัตราดอกเบี้ยทั่วโลก โดยธนาคารกลางยุโรปเริ่มลดดอกเบี้ยไปแล้วในเดือนมิถุนายน ในขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) คาดว่าจะเริ่มลดดอกเบี้ยได้ในไตรมาส 4 และจะลดดอกเบี้ยได้อย่างน้อย 1 ครั้งในปีนี้ แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง จะส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐกลับมาอ่อนค่า และลดแรงกดดันต่อหุ้นในตลาดเกิดใหม่

และ 3.การกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน โดยก่อนหน้านี้จีนได้ทยอยประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะมาตรการช่วยเหลือภาคอสังหาริมทรัพย์ เช่น มาตรการลดเงินดาวน์ ยกเลิกอัตราดอกเบี้ยขั้นต่ำ และการให้วงเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำจำนวน 3 แสนล้านหยวนให้กับรัฐบาลท้องถิ่น

เพื่อนำไปซื้อบ้านส่วนเกินในตลาด เพื่อพยุงราคาอสังหาริมทรัพย์ มาตรการดังกล่าวน่าจะช่วยเพิ่มความมั่นใจในภาคอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นต้นเหตุความอ่อนแอของเศรษฐกิจจีน นอกจากนั้น ในเดือนกรกฎาคมยังจะมีการประชุมใหญ่ของกรรมการกลางแห่งพรรคคอมมิวนิสต์จีน (Third Plenum) ซึ่งเราคาคาดว่าจะมีการประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาเพิ่มเติมหลังจากนั้น

อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องติดตามการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐที่จะเกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน 2567 เนื่องจากนายโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ เสนอให้สหรัฐขึ้นภาษีนำเข้าจากจีนขึ้นไปถึง 60% และจากประเทศอื่นๆ 10% ซึ่งจะกดดันการค้าโลกและอาจสร้างความผันผวนต่อหุ้นในตลาดเกิดใหม่ในช่วงที่การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐได้

ADVERTISMENT

นายคมศรกล่าวอีกว่า สำหรับมุมมองต่อตลาดหุ้นสหรัฐ ซึ่งนับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ดี นำโดยตลาดหุ้นสหรัฐที่พุ่งขึ้นถึงราว 15% จากแรงหนุนของเศรษฐกิจที่ขยายตัวได้ต่อเนื่อง ประกอบกับกระแสการเติบโตของกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและ AI ในขณะที่หุ้นตลาดเกิดใหม่กลับถูกแรงกดดันจากแนวโน้มดอกเบี้ยของ Fed ที่มีการชะลอการลดดอกเบี้ยออกไป ซึ่งส่งผลต่อเนื่องให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นสหรัฐที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้มูลค่า (Valuation) เพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับค่อนข้างแพง โดยค่าอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E) ของดัชนี S&P500 ปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ 21 เท่าใกล้เคียงจุดสูงสุดในช่วงปี 2564 ในขณะที่อัตราผลตอบแทนส่วนเพิ่มเพื่อชดเชยความเสี่ยง (Earning Yield Gap) ลดลงมาอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 22 ปี ระดับ Valuation ที่ขึ้นมาสูงทำให้ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้มองว่าตลาดหุ้นสหรัฐ เริ่มมีโอกาสปรับขึ้นจำกัด

ADVERTISMENT