
บทความโดย ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ CEO Jitta Wealth
วันที่ 26 มิถุนายน 2567 หุ้นสหรัฐบวกขึ้นมาเยอะตั้งแต่ปีที่แล้วจนถึงวันนี้ ก็ยังไว้ลายตลาดมหาอำนาจโลกทำผลงานและมีแนวโน้มที่ดีต่อเนื่องอยู่จีนก็มาแรง ฮ่องกงก็ราคาถูก วิกฤตต่าง ๆ ในจีนก็เริ่มคลี่คลาย เศรษฐกิจยังเติบโตดี เวียดนามก็ยังเป็นดาวรุ่งฐานการผลิตแบรนด์ชั้นนำของโลกทำเอาเลือกไม่ถูกกันทีเดียว
ผมมีข้อมูลดี ๆ มาชี้ช่องกระจายเงินลงทุนให้ครับเผื่อให้คุณใช้ประกอบการตัดสินใจเลือกลงทุนช่วยเสริมแกร่งให้พอร์ตเติบโตในระยะยาวเรามาติดตามสถานการณ์โลกล่าสุดก่อนครับธนาคารกลางสหรัฐฯหรือเฟดก็ได้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกแล้ว ทำไมหุ้นสหรัฐยังไปต่อหรือหุ้นสหรัฐจะเป็นขาขึ้นฉุดไม่อยู่จริง ๆ แล้วถ้าเฟดลดดอกเบี้ยจริง ๆ ล่ะหุ้นสหรัฐจะวิ่งไปได้อีกมากแค่ไหน แล้วเราควรวาง position การลงทุนอย่างไรดีตามมาหาคำตอบกันครับ
เฟดคงดอกเบี้ยสูง หุ้นสหรัฐไปต่อ
ล่าสุด ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC) เมื่อวันที่ 11-12 มิถุนายนที่ผ่านมาได้มีมติคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 5.25-5.50% ตามที่ตลาดคาดไว้ซึ่งเป็นการคงอัตราดอกเบี้ยติดต่อกันเป็นครั้งที่ 7 หลังจากที่เฟดได้มีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยติดกันถึง 11 ครั้งนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2565 และนับเป็นระดับอัตราดอกเบี้ยที่สูงที่สุดในรอบ 23 ปี
เฟดยังได้เปิดเผยการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ย (Fed Dot Plot) เจ้าหน้าที่เฟดคาดการณ์ว่าในปีนี้อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยจะอยู่ที่ 5.1% ในการส่งสัญญาณปี 2567 นี้จะมีการลดอัตราดอกเบี้ยเพียง 1 ครั้ง จากที่เคยคาดการณ์ไว้ 3 ครั้ง ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมานี้นอกจากนี้ในปี 2568 เฟดส่งสัญญาณว่าอาจมีการลดอัตราดอกเบี้ย 4 ครั้ง ครั้งละ 0.25% รวม 1%และดอกเบี้ยเฉลี่ยจะอยู่ที่ 4.1%
ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่เฟดปรับเพิ่มการคาดการณ์ดอกเบี้ยระยะยาวสู่ระดับ 2.8% จากเดิมที่อยู่ที่ 2.9% ทำให้หลังจากประกาศ Fed Dot Plot ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐจึงปรับตัวแข็งค่าขึ้นทำให้ค่าเงินบาทกลับมาอ่อนค่า
นอกจากนี้ เฟดได้คงตัวเลขการคาดการณ์ GDP สหรัฐไว้ที่ 2.1% ในปี 2567 และอยู่ที่ 2.0%ในปี 2568 และ 2569 ตามที่ได้คาดการณ์ไว้ในช่วงเดือนมีนาคมในส่วนของอัตราการว่างงานคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 4.0%, 4.2%, 4.1% ในปี 2567, 2568 และ 2569
มุมมองของประธานเฟด ‘เจอโรม พาวเวลล์’ กล่าวหลังการประชุมเฟดว่าอัตราเงินเฟ้อยังอยู่ระดับสูงเกินไป แม้จะมีการชะลอตัวลงในช่วงที่ผ่านมา และระบุด้วยว่าการคาดการณ์เกี่ยวกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้ถูกเลื่อนออกไป
เนื่องจากแนวโน้มที่เงินเฟ้อจะปรับตัวลงสู่เป้าหมายของเฟดที่ระดับ 2% นั้น มีความล่าช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ ‘พาวเวลล์’ ออกตัวว่าขณะนี้ยังเร็วเกินไปที่จะบอกได้ว่านโยบายการเงินของเฟดมีการคุมเข้มมากพอแต่ความมุ่งมั่นในการดำเนินนโยบายคุมเข้มด้านการเงินของเฟดนั้นกำลังส่งผลกระทบต่อเงินเฟ้อ ซึ่งเป็นสิ่งที่กรรมการเฟดต่างก็คาดหวังที่จะเห็น
ส่วนสถานการณ์เศรษฐกิจสหรัฐในขณะนี้ ประธานเฟดกล่าวว่ายังไม่เป็นที่ชัดเจนว่าเพราะเหตุใดชาวอเมริกันจึงไม่มีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจอย่างที่ควรจะเป็นซึ่งโดยภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐกำลังเติบโตขึ้นและตลาดแรงงานมีความแข็งแกร่งขณะที่เงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูง แต่อัตราการขยายตัวของเงินเฟ้อชะลอตัวลงอย่างมีนัยสำคัญมโดยสรุปจนถึงเวลานี้ เฟดยังไม่มีความมั่นใจมากพอที่จะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยแม้ว่าดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือน พ.ค. ของสหรัฐอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าการคาดการณ์
ทั้งนี้ ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐ (วัดการใช้จ่ายภาคบริโภค) ปรับตัวขึ้น 3.3% ในเดือน พ.ค. เมื่อเทียบรายปี ส่วนดัชนี CPI พื้นฐาน (Core CPI) ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงานปรับตัวขึ้น 3.4% ในเดือน พ.ค. เมื่อเทียบรายปี เสียงสะท้อนจาก ‘ลอเร็ตตา เมสเตอร์’ ประธานเฟดสาขาคลีฟแลนด์ ยังคงมองว่าความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
แม้ว่าการเปิดเผยข้อมูลเงินเฟ้อล่าสุดออกมาดีก็ตามและคิดว่าความเสี่ยงต่อตลาดแรงงานนั้นมีสองด้านซึ่งการคาดการณ์ล่าสุดของผู้กำหนดนโยบายเฟดซึ่งส่งสัญญาณว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงเพียงครั้งเดียวในปีนี้นั้นถือว่าค่อนข้างใกล้เคียงกับมุมมองของเธอเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐ
อย่างไรก็ดี ประเด็นตลาดแรงงานสหรัฐก็มีตัวเลขอัตราว่างงานที่ขยับเพิ่มขึ้นมาแตะ 4% หลัก ๆ มาจากปัญหาในกลุ่มแรงงานฐานรากกลุ่มคนเหล่านี้จะทนพิษดอกเบี้ยสูงได้อีกนานแค่ไหนในช่วงระหว่างทางที่ต้องรอเฟดควบคุมเงินเฟ้อให้อยู่หมัดก่อน เมื่อถึงเวลานั้น เศรษฐกิจสหรัฐจะเป็นอย่างไร เป็นโจทย์หินของเฟดที่ trade off ระหว่างลดดอกเบี้ย กับกดเงินเฟ้อที่ตอนนี้หาคำตอบยากอยู่ครับ
แต่ในอีกมุมที่ซีกโลกยุโรป กระแสการลดดอกเบี้ยของโลกเกิดขึ้นแซงหน้าสหรัฐ ไม่ว่าจะเป็น ECB สวิสเซอร์แลนด์ อังกฤษ เป็นต้น สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจโลก World Bank หรือธนาคารโลก ออกรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลก เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2567 ที่ผ่านมา ระบุว่าเศรษฐกิจโลกจะมีการขยายตัว 2.6% ในปีนี้ โดยได้แรงหนุนจากการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ และขยายตัว 2.7% ในปี 2568 และ 2569 ซึ่งหากเศรษฐกิจโลกขยายตัว 2.6% ในปีนี้ได้ตามคาด ก็จะมีการขยายตัวเท่ากับปี 2566 และจะทำให้เศรษฐกิจโลกหลีกเลี่ยงการปรับตัวลงติดต่อกันเป็นปีที่ 3
โดยธนาคารโลกยังได้คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะมีการขยายตัว 2.5% ในปีนี้ไม่เปลี่ยนแปลงจากปี 2566 แต่เพิ่มขึ้นจากคาดการณ์ในเดือน ม.ค.ที่ระดับ 1.6% ผมเชื่อว่าหลาย ๆ คนคงสงสัย ปีนี้ เฟดตั้งท่าจะลดดอกเบี้ยตั้งแต่ต้นปีแล้วจนถึงเวลานี้ก็ยังไม่ลดดอกเบี้ย และเลื่อนออกไปอีก ทำไมเฟดคงดอกเบี้ยสูงไว้ที่ระดับ 5.25-5.50% แล้วตลาดหุ้นสหรัฐยังวิ่งต่อครับ
ถ้าติดตามดูความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นมหาอำนาจอย่างสหรัฐที่มีแนวโน้มดีแม้เฟดจะยังคงดอกเบี้ยในระดับสูงอยู่ เราจะพบว่า ปีนี้ ตลาดถูก drive ด้วยหุ้นเมกะเทคและเทคตัวอื่นอยู่ครับ หลังจากที่ปีที่แล้วได้หุ้นเทค 7 นางฟ้าจุดพลุตลาดสว่างไสวไปทั่วโลก จนดัชนี S&P 500 ทำ All time high ประเด็นหลัก ๆ มาจากผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนเหล่านี้ยังออกมาสดใสธุรกิจที่มีอนาคตก็ย่อมจะเติบโตต่อเนื่องและเป็นตัวส่งให้ราคาหุ้นยังมีมูลค่าเพิ่มในระยะยาวครับ
คำคมของคุณปู่ Warren Buffett ตำนานนักลงทุนสาย VI ของโลก เคยกล่าวไว้ว่า “ตลาดหุ้นเป็นที่ที่คุณมองเห็นราคา แต่ไม่รู้มูลค่าที่แท้จริง นักลงทุนที่ดี คือ นักลงทุนที่รู้มูลค่าที่แท้จริงของสิ่งที่จะซื้อหรือขาย”
ดังนั้น หากคุณเห็นว่า หุ้นสหรัฐปรับตัวขึ้นมามากแล้ว จะลองตามหาหุ้นดีราคาถูกส่วนตัวผมเชื่อว่ายังมีตลาดที่เหมาะสมให้เลือกซื้ออยู่ครับและน่าจะถือเป็นโอกาสดีที่จะกระจายพอร์ตการลงทุนด้วยซ้ำ
น้ำขึ้นให้รีบตัก หุ้นดีมีในจีน-ฮ่องกง โอกาสมาต้องรีบคว้า
“ที่ไหนมีวิกฤต ที่นั่นมีโอกาส” เวลาผมจะลงทุนหุ้นเพิ่มผมมักจะปักธงเป้าหมายตลาดที่มักลงมาต่ำ ๆ ครับจะนั่งหาข้อมูลทำการบ้านและรอเก็บเกี่ยวสินทรัพย์คุณภาพดี ๆ
ซึ่งตอนนี้ที่ผมเห็นหุ้นที่อยู่ในกระแสและมีแนวโน้มดีสุด ๆ ก็คงหนีไม่พ้น ‘หุ้นจีน’ ซึ่งผมมั่นใจตลาดนี้ เพราะมีอีกแรงที่ช่วยวิเคราะห์เชิงลึก นั่นคือ Market Prediction ที่ AI ของ Jitta Wealth ได้พัฒนาระบบคาดการณ์ตลาดจนสามารถชี้เป้าตลาดที่น่าลงทุนได้ครับช่วยทุ่นแรงได้มากเลยครับ ซึ่งเจ้า AI Market Prediction ก็ชี้เป้าว่าเวลานี้ หุ้นจีน-หุ้นฮ่องกงถือว่าน่าลงทุนกว่าตลาดอื่นครับ
นับตั้งแต่ต้นปี 2567 ดัชนี CSI300 ทะยานขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 8 เดือนและนับตั้งแต่ต้นปี จนถึงกลางเดือนมิถุนายนนี้ ดัชนี CSI300 พุ่งขึ้นแล้วไม่ต่ำกว่า 5% เรียกว่าตลาดหุ้นจีนฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง ทั้ง ๆ ที่ความกังวลในตลาดไม่ได้ลดลงครับความเสี่ยงด้านตลาดอสังหาริมทรัพย์ก็ยังมีอยู่ เศรษฐกิจอาจจะเติบโตไม่เข้าเป้า เพราะล่าสุดธนาคารโลก คาด GDP จีนขยายตัว 4.8% ในปีนี้ ลดลงจาก 5.2% ในปีที่แล้ว และความขัดแย้งกับสหรัฐก็ยังคงมีอยู่
อย่างไรก็ตาม IMF ปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP จีน เติบโตถึง 5%จากเดิมคาดการณ์ 4.6% ด้วยอานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลจีน และตัวเลข GDP ไตรมาสแรกที่ออกมาแข็งแกร่งระดับ 5.3% ขณะที่ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในหุ้นจีนส่วนใหญ่ยังเติบโต
เมื่อเร็ว ๆ นี้ ตลาดหุ้นจีนพลิกตัวแรงอีกระลอก หลังรัฐบาลประกาศ ‘นโยบายการปฏิรูปตลาดหุ้นจีน’ วันที่ 12 มิถุนายนที่ผ่านมา China Securities Regulatory Commission (CSRC) ออกแถลงการณ์เรื่อง ‘9 มาตรการปฏิรูปตลาดทุน’ ซึ่งเป้าหมายหลักในการปฏิรูป คือ ควบคุมคุณภาพ ออกกฎเกณฑ์คุณสมบัติหุ้น IPO เพิ่มความโปร่งใส บทบาทของผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนการลดความเสี่ยงและมุ่งพัฒนาตลาดทุนซึ่งจะทำให้มุมมองของชาวโลกต่อการลงทุนหุ้นจีนเปลี่ยนไป
การปฏิรูปครั้งนี้เป็นครั้งที่สามแล้ว จากการปฏิรูปที่เป็นแนวโน้มระยะยาวเคยเกิดขึ้นในปี 2547 ทำให้หุ้นจีนทะยานกว่า 340% ในช่วง 4 ปีหลังประกาศ ส่วนการปฏิรูปครั้งที่สอง คือปี 2557 ตลาดหุ้นจีนพุ่งขึ้น 150% ในช่วง 1 ปีหลังการประกาศอีกแรงส่งที่ปัจจัยที่ทั่วโลกเฝ้ารอมานานข้ามปี คือรัฐบาลจีนได้ออกมาตรการกระตุ้นแรงสุดที่เคยทำมาในการแก้วิกฤตตลาดอสังหาฯ ตกต่ำโดยธนาคารกลางจีน (PBOC) ได้ยกเลิกอัตราดอกเบี้ยจำนองขั้นต่ำและลดอัตราส่วนการวางเงินดาวน์ลง และโน้มน้าวรัฐบาลท้องถิ่นซื้อบ้านค้างสต๊อกแล้วเปลี่ยนเป็นที่อยู่อาศัยราคาย่อมเยาสำหรับประชาชนกลายเป็นแรงบวกต่อหุ้นอสังหาริมทรัพย์จีนต่างเด้งรับข่าวดี
ตลาดมองว่าความเคลื่อนไหวดังกล่าวถือเป็นนโยบายที่แข็งแกร่งที่สุดในการช่วยยกระดับภาคอสังหาริมทรัพย์ของประเทศจีนที่ตกต่ำมาหลายปี และนับเป็นก้าวใหม่ในการรณรงค์ของรัฐบาลจีนเพื่อที่จะจัดการกับภาวะถดถอยของภาคอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นปัจจัยใหญ่ที่สุดที่ฉุดรั้งการเติบโตของเศรษฐกิจ และกำลังคุกคามความมั่นคงทางสังคมจำนวนหน่วยที่อยู่อาศัยที่ขายไม่ออกกำลังพุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 8 ปี ขณะที่งานก่อสร้างต้องหยุดชะงักและผู้พัฒนาโครงการผิดนัดชำระหนี้ประชาชนประมาณ 5 ล้านคน จึงเสี่ยงต่อการว่างงานหรือรายได้ลดลง
วันนี้ จีนมีสัญญาณฟื้นตัวกลับมาที่ดีกว่าปีที่แล้วแม้ว่าความเสี่ยงจากวิกฤตภาคอสังหาริมทรัพย์อาจจะยังไม่ได้หมดไปเสียทีเดียวแต่จีนยังมีเสาหลักทางเศรษฐกิจอื่นที่เติบโตได้โดยเฉพาะภาคเทคโนโลยีที่มีเป้าหมายนำประเทศสู่ China Innovation เมื่อปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา จีนประกาศตั้งกองทุนกองทุนเพื่อการลงทุนอุตสาหกรรมวงจรรวมแห่งชาติ (National Integrated Circuit Industry Investment Fund) ระยะที่ 3 ได้ระดมเงินรวม 344,000 ล้านหยวน (ประมาณ 47,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1,739,450 ล้านบาท) จากรัฐบาลกลางธนาคารของรัฐ และองค์กรของรัฐหลายแห่ง
รวมถึงธนาคารเพื่ออุตสาหกรรมและการพาณิชย์แห่งประเทศจีน (Industrial & Commercial Bank of China : ICBC) ซึ่งเป็นธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีน และใหญ่ที่สุดในโลกขณะที่บริษัทการลงทุนของรัฐบาลท้องถิ่นในเสิ่นเจิ้นและปักกิ่งก็มีส่วนร่วมลงทุนด้วยก้อนใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา
เพื่อสนับสนุนการลงทุนในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ช่วยขับเคลื่อนการพัฒนาอุตสาหกรรมชิปในประเทศจีนซึ่งเป็นความพยายามล่าสุดจากรัฐบาลจีนในการที่จะพึ่งพาตนเองในด้านชิปเนื่องจากสหรัฐพยายามจำกัดการพัฒนาและการเติบโตของอุตสาหกรรมชิปของจีนหรือปิดกั้นการเข้าถึงเทคโนโลยีนั่นเอง
ข่าวใหญ่นี้ก็เป็นอีกปัจจัยบวกที่หนุนหุ้นเทคโนโลยีจีนคืนชีพกลับมาสดใสครับ ต้องบอกว่าช่วง 2 เดือนมานี้ หุ้นจีนมีข่าวใหญ่ปัง ๆ เข้ามาดีดเด้งสดใสครับ ผมยังมีอีกตลาดหุ้นนักลงทุนต่างชาติมักเลือกลงทุนเพราะเป็นตลาดที่สามารถวิ่งเกาะตามหุ้นจีน นั่นก็คือ ตลาดหุ้นฮ่องกง ซึ่งในปีนี้ก็เพิ่งปรับตัวขึ้นจากจุดต่ำสุดในช่วงปลายเดือนมกราคม จนถึงปัจจุบัน ดัชนี Hang Seng ปรับตัวขึ้นมากกว่า 22% แล้ว
แสดงให้เห็นว่าเงินทุนจากต่างชาติเริ่มกลับเข้าสู่ตลาดหุ้นฮ่องกงอีกครั้งส่งสัญญาณว่าตลาดหุ้นกำลังฟื้นตัว เจพีมอร์แกนได้วิเคราะห์มุมมองที่เป็นบวกต่อ ตลาดหุ้นจีนและเชื่อมั่นว่าภาคอสังหาริมทรัพย์มีแนวโน้มฟื้นตัว หลังจากรัฐบาลได้ออกมาตรการฟื้นอสังหาริมทรัพย์มุมมองของ เวนดี หลิว หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์ตลาดหุ้นเอเชียและจีน
เจพีมอร์แกน มีความเห็นว่าตลาดหุ้นจีนถือเป็นตลาดที่มีราคาถูกมากที่สุดในเอเชีย-แปซิฟิกซึ่งเป็นอีกหนึ่งในปัจจัยที่จะช่วยดึงดูดแรงซื้อของนักลงทุน เชื่อมั่นว่าตลาดหุ้นจีนในปี 2567 มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2566 โดยส่วนหนึ่งได้แรงหนุนจากผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียน
หากคุณจำกันได้ ผมแนะนำลงทุนหุ้นจีนตั้งแต่ปลายปีที่แล้วละครับซึ่งใครที่เริ่มลงทุนตามผมในตอนนั้น วันนี้คุณได้รับผลตอบแทนบวกกันแล้ว เพราะ Jitta Ranking ตัวท็อป ๆ อย่างหุ้นจีน หุ้นฮ่องกง หุ้นเทคโนโลยีจีนตั้งแต่ต้นปีมานี้ทำผลตอบแทนได้ตั้งแต่ 14-16% ถือว่าค่อนข้าง Perform ได้ดีมาก
วันนี้ ผมเชื่อว่าหุ้นจีนเดินออกมาจากอุโมงค์แล้วครับหลังจากที่ร่วงลงต่ำสุดมานานจากวิกฤตต่าง ๆ ที่ถาโถมตลอด 4-5 ปีที่ผ่านมาแน่นอนว่าผลตอบแทนเหล่านี้ไม่ได้มาเพราะโชคช่วย แต่มีปัจจัยสนับสนุนที่ดีคอยส่งเสริมและที่สำคัญแนวโน้มยังคงไปต่อ
แม้ปีนี้ ผลตอบแทนจะดูว่าบวกขึ้นมาเยอะ แต่อย่าลืมว่าเพิ่งจะผ่านมาแค่ครึ่งปีเท่านั้นจากปัจจัยสนับสนุนต่าง ๆ มีโอกาสสูงที่ตลาดหุ้นจีนและฮ่องกงจะกลับมาเติบโตมากขึ้นไปอีกในอนาคตตอนนี้ผมบอกได้เพียงว่า น้ำขึ้นให้รีบตักครับ ถ้าคุณเห็นหุ้นจีนคุณภาพ ราคายังไม่สูงมากนักเป็นโอกาสเข้าลงทุน เพื่อการเติบโตของพอร์ตในระยะยาว