“พิชัย” กางแผนฟื้นเศรษฐกิจ เร่งลงทุน-แก้โจทย์หนี้ครัวเรือน

pichai
พิชัย ชุณหวชิร

“พิชัย ชุณหวชิร” รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง กางแผนกู้ศักยภาพเศรษฐกิจไทย ชี้โจทย์ใหญ่เร่งจูน “นโยบายการเงิน-การคลัง” ให้สอดคล้อง เผยปัญหาเร่งด่วน “หนี้ครัวเรือน” ประชาชนรายได้ไม่พอรายจ่าย เหตุเศรษฐกิจโตต่ำ กระทุ้ง “แบงก์พาณิชย์” ผู้เข้มแข็งที่สุดในระบบเศรษฐกิจ ต้องช่วยลูกหนี้ให้อยู่รอด พร้อมแผนระยะยาวดึงยักษ์เอกชนไทย กลับมาลงทุนในประเทศ เร่งแก้ล็อกไฮสปีด 3 สนามบิน ปลุกลงทุนพื้นที่ EEC หลังกระแส FDI เข้าไทย ขุนคลังยืนยันแจกดิจิทัลวอลเลต เพื่อให้เศรษฐกิจกระชุ่มกระชวยเท่าที่เม็ดเงินเอื้อ

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์พิเศษ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ภาวะเศรษฐกิจไทยปัจจุบันถือว่าแย่มาก โดย 5 ปีที่ผ่านมาช่วงโควิดเติบโตเหลือ 0.4% และปีที่แล้วขยายตัว 1.9% ส่วนปีนี้ไตรมาส 1 อยู่ที่ 1.5% ทั้งธนาคารโลกและธนาคารแห่งประเทศไทยคาดการณ์ปีนี้โต 2.4% แต่ส่วนตัวมองว่ายังมีเวลาทำงาน และอยากจะผลักดันจีดีพีให้ขึ้นไปใกล้ ๆ 3% ถ้าเราเข้าใจปัญหา และสามารถแก้ไขปัญหาอย่างถูกต้อง

เร่งจูนนโยบายการเงิน-การคลัง

อย่างไรก็ดี การแก้ปัญหาเศรษฐกิจในประเทศ ต้องใช้ 2 อย่าง คือ นโยบายการเงินและนโยบายการคลังควบคู่กัน และจะต้องสอดคล้องกัน เพราะนโยบายการเงินเมื่อกำหนดไปแล้ว จะมีผลต่อค่าเงิน ดอกเบี้ย ซึ่ง 2 ตัวนี้ก็จะมีผลต่อการส่งออก และมีผลต่อการลงทุนในตลาดทุนด้วย

นายพิชัยกล่าวว่า ตอนนี้นโยบายการเงินและการคลัง กำลังปรับจูนกันอยู่ หลายเรื่องก็เข้าใจเหตุผลที่ผ่านมา ซึ่งก็จะต้องมีการคุยกันและหวังว่าจะทำงานร่วมกันได้ใกล้ชิดขึ้น มองเห็นสิ่งที่เป็นอุปสรรคเหมือนกัน และร่วมกันแก้ไข เรื่องนี้ต้องแก้ไขให้ลุล่วง เพราะนโยบายการเงินสำคัญมาก

แบงก์รัฐนำร่องลดภาระหนี้

รัฐมนตรีคลังกล่าวว่า อย่างไรก็ดี สิ่งสำคัญที่จะผลักดันให้เครื่องจักรการผลิตเดินได้ ประกอบด้วย 1.ประชาชนคือผู้บริโภค เอสเอ็มอี 2.อุตสาหกรรมการผลิต และ 3.รัฐบาล ซึ่งทั้ง 3 ส่วนก็มีปัญหา ภาครัฐบาลแม้ว่าสภาพหนี้จะขึ้นสูงเมื่อเทียบกับช่วง 10 ปีที่ผ่านมา หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นจาก 5 ล้านล้าน ปัจจุบันใกล้ 12 ล้านล้านบาทแล้ว ปัญหาสำคัญที่เกิดขึ้น คือ รายได้ที่ไม่เพียงพอของประชาชน เพราะเศรษฐกิจเติบโตต่ำ

ดังนั้น การที่จะผลักดันในประเทศเดินต่อ “ประชาชน” เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ปัญหา “หนี้ครัวเรือน” เร่งด่วนที่สุด และหนี้เอสเอ็มอี ที่ต้องเร่งแก้ไข การแก้ไขปัญหามี 2 แนวทาง คือ 1.ทำให้ประชาชนมีภาระหนี้ลดลง คือ ทำให้ภาระการชำระหนี้เบาลงลดลง โดยยอดหนี้อยู่เท่าเดิม เริ่มจากใช้กลไกสถาบันการเงินของรัฐก่อน โดยวันนี้ ธอส.ปรับโครงสร้างหนี้ให้ผ่อนยาวได้ถึงอายุ 80 ปี ข้าราชการบำนาญก็ให้ถึง 85 ปี ภาระหนี้ก็ลดลง 2.ให้ความยืดหยุ่นช่วง 1-2 ปีแรก โดยให้ผ่อนเงินต้นน้อยหน่อย คือ ทำทุกวิถีทางเพื่อให้ภาระหนี้ประชาชนลดลง เพราะที่อยู่อาศัยเป็นสิ่งสุดท้ายที่คนไม่อยากถูกยึด

ADVERTISMENT

กระทุ้งแบงก์พาณิชย์ช่วย ปชช.

นายพิชัยกล่าวว่า แม้ขณะนี้การดำเนินนโยบายจะจำกัดอยู่ในสถาบันการเงินของรัฐ ซึ่งก็มีนโยบายที่จะให้ขยายไปยังธนาคารพาณิชย์ ส่วนตัวเชื่อว่าตอนนี้ธนาคารพาณิชย์ต่าง ๆ ก็กำลังคิดแล้วว่าต้องกลับมาช่วยประชาชน และเห็นตัวอย่างแบงก์รัฐที่เข้ามาช่วย เพราะตอนนี้ทั้งประชาชน-เอสเอ็มอี, ภาคผลิตและรัฐบาล 3 เสาหลักกำลังลำบาก แต่ธนาคารพาณิชย์เข้มแข็งมาก BIS Ratio (อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง) สวยงาม ความเสี่ยงน้อย เข้มแข็งมาก ซึ่งต้องชมเชยคนที่กำกับดูแลทำให้เข้มแข็ง

อย่างไรก็ดี เมื่อธนาคารพาณิชย์มีความเข้มแข็งมาก การคิดกลับมาช่วยประชาชนน่าจะทำได้ เพราะย้อนไปช่วงที่เราเกิดต้มยำกุ้ง เมื่อ พ.ศ. 2540 เมื่อ 27 ปีที่แล้ว ปัญหาที่เกิดขึ้นกับภาคธุรกิจ ตอนนั้นคนที่เข้ามาช่วยคือรัฐบาล เข้ามาแบกรับทุกอย่างให้ ซึ่งยังค้างอยู่ทุกวันนี้ และจริง ๆ คนที่มาใช้หนี้ก้อนนี้ ไม่ใช่แบงก์ แต่เป็นประชาชนผู้ฝากเงิน เพราะดอกเบี้ยเงินฝากประมาณ 0.46% ถูกเก็บมาเพื่อคืนเงินก้อนนี้ เรียกว่าสถาบันการเงินเข้มแข็งได้ทุกวันนี้เพราะประชาชนมีส่วนช่วยอย่างมาก

ADVERTISMENT

รัฐมนตรีคลังกล่าวว่า ที่ผ่านมา ธนาคารพาณิชย์อาจจะมีการช่วยในการปรับโครงสร้างหนี้ตามนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แต่มันยังไม่เต็มที่ ก็ต้องปรับให้เต็มที่ คือ “ปรับให้รอด” โดยเรื่องนี้ผู้กำกับสถาบันการเงินก็เข้าใจและพยายามช่วยกันดูอยู่ เพราะตอนนี้หนี้ครัวเรือนเรียกว่าเป็น “วิกฤตชนิดหนึ่ง” คงต้องมาดูแลและช่วยเหลือกัน นอกจากนี้ ธนาคารออมสินก็จะให้สินเชื่อราคาถูกดอกเบี้ย 0.01% วงเงิน 100,000 ล้านบาท ปล่อยให้ธนาคารพาณิชย์เพื่อมาปล่อยสินเชื่อ คือ นอกจากจะแก้หนี้คนเก่าแล้ว ก็ต้องเติมเงินใหม่ให้ด้วย

รัฐเร่งลงทุน “ขาดดุล” เต็มแม็ก

นอกจากนี้ รัฐมนตรีคลังกล่าวว่า แน่นอนว่ารัฐจะต้องใช้เงินกระจายให้ได้มากที่สุด วันนี้การลงทุนภาคเอกชน การลงทุนตรงจากต่างประเทศ (FDI) ซึ่งภาครัฐก็ต้องสร้างขีดความสามารถ แก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง อย่างภาคเกษตร ที่มีปัญหาเรื่องน้ำ เรื่องปุ๋ย เรื่องการขนส่ง เรื่องการตลาด เรื่องราคา

“รัฐบาลให้ความสำคัญเรื่องการลงทุนเป็นลำดับแรก ๆ รัฐบาลต้องลงทุนเรื่องเหล่านี้มากขึ้น ต้องตั้งงบประมาณเพื่อมาดูแลตรงนี้มากขึ้น ทั้งเรื่องน้ำ เรื่องการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งทั้งหมดนี้ทำภายใต้กรอบกฎหมายวินัยการเงินการคลังอย่างเคร่งครัด ซึ่งต้องบอกว่าใช้เต็มเกณฑ์ เพราะมีความจำเป็นต้องใช้เต็มเกณฑ์”

เร่งแก้ล็อกไฮสปีด 3 สนามบิน

ขณะที่เศรษฐกิจไทยไม่เติบโต แต่ต่างประเทศบูม ก็ทำให้ที่ภาพผ่านเกิดภาพเอกชนไม่ลงทุนในประเทศ แต่มีการนำเงินออกไปลงทุนต่างประเทศเยอะมาก บางบริษัทลงทุนเป็นแสนล้าน บางบริษัท 4-5 หมื่นล้าน ดังนั้น เงินออกไปนอกประเทศเยอะมาก เพราะว่ายังมองไม่เห็นโอกาสในประเทศไทย แต่วันนี้รัฐบาลเปิดดึงการลงทุนต่างประเทศเข้ามา ก็หวังว่าธุรกิจไทยจะหันมามองการลงทุนในประเทศ ดึงการลงทุนกลับมา และการไปลงทุนต่างประเทศเริ่มแผ่วลง ส่วนหนึ่งเพราะว่าไปแล้วอาจจะเป็นไปตามที่คิด ทำให้เอกชนอาจจะเริ่มทิศกลับเข้ามาลงทุนในประเทศมากขึ้น

ส่วน FDI (การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ) อย่างเรื่องศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์ ที่จะเข้ามาแล้วยังมีอุตสาหกรรมต่อเนื่องเข้ามาด้วย รวมถึงไปดูการลงทุนในพื้นที่ EEC ว่าจะสานต่ออย่างไร ติดอะไรอยู่ที่ตรงไหน โดยโครงการใหญ่ใน EEC คือ รถไฟเชื่อม 3 สนามบิน และอู่ตะเภา ตอนนี้ยังไม่มีความเคลื่อนไหว ซึ่งต้องลงไปดูว่าทำอย่างไร จะต้องปรับรูปแบบอย่างไร เพื่อให้เกิดขึ้นให้ได้ เพื่อให้การลงทุนในประเทศเกิด ซึ่งจะสอดคล้องกับจุดแข็งของประเทศ

เศรษฐกิจฟื้นไม่ทันใจใน 1 ปี

นายพิชัยกล่าวว่า ทั้งหมดนี้เป็นภาพหลัก ๆ ที่จะทำ สั้น กลาง ยาว แต่การฟื้นตัวเศรษฐกิจจะไม่ทันใจภายใน 1 ปี แต่เรามีจุดแข็งอยู่สำหรับประเทศไทย อย่างภาคเกษตร ถ้าทำดี ๆ จะได้มากกว่านี้ จากปัจจุบันภาคเกษตรสัดส่วนแค่ 7% ของจีดีพี อย่างการนำไบโอเทคโนโลยีเข้ามา ซึ่งทั่วโลกกำลังตื่นตัวมาก จะทำให้ราคาสินค้าเกษตรไทยขายได้แพงขึ้นอีกมาก

ส่วนการเปิดให้ต่างชาติเข้ามาลงทุน ก็ต้องอำนวยความสะดวกในการทำธุรกิจ การติดต่อหน่วยงานไม่ใช่ต้องไป 20-30 แห่ง หรือต้องใช้เวลานานเป็นปี ก็ต้องปรับให้เร็ว ซึ่งภาครัฐก็มีการดูแลเรื่องนี้อยู่ อย่างการออกใบอนุญาตแบบวันสต็อปเซอร์วิส เป็นต้น

อย่างไรก็ดี การลงทุนจากต่างประเทศ ตอนนี้ยังมาไม่ทัน เพราะธุรกิจที่จะเข้ามาลงทุนใช้เงินมาก ก็ต้องใช้เวลาลงทุนระดับ 2 หมื่นล้าน ถึง 3 แสนล้าน ซึ่งคงไม่เสร็จภายใน 6 เดือน และต้องลงทุนเป็นเฟส แล้วค่อยขยายเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดี “ทำช้าดีกว่าไม่ทำเลย”

สำหรับคำถามว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวเมื่อไหร่ นายพิชัยกล่าวว่า ก็ต้องดูว่า สิ่งที่ปรับกลไกต่าง ๆ เอื้อต่อการให้คนมีความเชื่อมั่นได้ ซึ่งปัจจัยด้านความเชื่อมั่นก็มีหลายอย่าง เช่น ความเห็นที่แตกต่างในประเทศ เริ่มลดลงก็จะเป็นปัจจัยที่สำคัญ ก็คิดว่าทุกอย่างจะค่อย ๆ พัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น

เครื่องยนต์ ศก.เหลือแค่ 2 ตัว

รัฐมนตรีคลังกล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับครึ่งปีหลัง จะเร่งเรื่องการดึงเงินลงทุนจากต่างประเทศ ซึ่งคงเห็นความคืบหน้ามากขึ้น ขณะที่ภาคเกษตรก็จะเห็นการใช้งบประมาณในการปรับโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ แหล่งน้ำ เป็นต้น

“สิ่งที่จะดันได้เร็วที่สุด ก็คือ การใช้งบประมาณภาครัฐ ซึ่งเป็น 1 ในเครื่องจักรที่เหลือเพียง 2 ตัว อีกตัว คือ การท่องเที่ยว ต้องยอมรับว่ากว่ารัฐบาลจะพิจารณางบฯปี 2567 เสร็จก็เดือน เม.ย. จากปกติต้องเสร็จตั้งแต่เดือน ก.ย.ปีก่อน ทำให้ภาครัฐเหลือเวลาใช้เงินแค่ 5 เดือน ตรงนี้เราต้องลงไปช่วยให้การเบิกจ่ายเร็วขึ้น โดยผมตั้งเป้างบฯปี’67 ต้องเบิกจ่ายให้ได้ 70% จากที่ทีมงานตั้งมา 66% ถ้าทำท่าจะได้ 70% ก็จะพยายามให้ได้มากขึ้นไปอีก ให้เหมือนกับปกติที่ 75% ซึ่งงบฯพวกนี้มีผล เพราะส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับเอสเอ็มอีในต่างจังหวัด ลงไปปุ๊บก็จ้างแรงงานเลย ใช้เงินเลย ซื้อของเลย”

รัฐมนตรีคลังกล่าวว่า ตอนนี้ตนมีการติดตามเร่งรัดเบิกจ่ายทุกสัปดาห์ ดูว่ามีติดขัดตรงไหนบ้าง เพื่อให้การลงทุนเกิดขึ้นเร็วที่สุด นอกจากงบประมาณปี 2567 แล้ว ก็ต้องไปเร่งในช่วงไตรมาส 4 ด้วย ในส่วนที่เป็นงบฯผูกพันข้ามปี 2567 รวมกับงบฯลงทุนปี 2568

แจก 10,000 เท่าที่งบฯเหลือ

ต่อกรณีที่มีเสียงวิจารณ์ว่า โครงการดิจิทัลวอลเลต ทำให้เม็ดเงินลงทุนของภาครัฐลดลง นายพิชัยกล่าวว่า งบประมาณจัดสรรไปหมดแล้ว เรามาดูว่ามีช่องไหนที่เหลือพอจะเป็นแหล่งเงิน โดย “ไม่ผิดวินัยการเงินการคลัง” เหลือเท่าไหร่ก็เท่านั้น ดังนั้นจะเห็นว่าที่พูดกัน 50 ล้านคน 5 แสนล้านบาท แต่วันนี้ตัวเลขงบประมาณที่มีการจัดสรรเพื่อโครงการดิจิทัลวอลเลตรวมกันจริง ๆ ก็แค่ 270,000 ล้านบาท โดยเป็นงบฯปี’67 ที่อยู่ในสภาก็ 153,000 ล้านบาท และส่วนที่เป็นงบฯเพิ่มเติมของปี 2567 อีก 122,000 ล้านบาท

“รัฐบาลให้ความสำคัญกับการใช้งบฯกลางให้เต็มที่ก่อน ซึ่งหากใช้เต็มที่แล้วยังเหลือ แล้วไม่มีที่ใช้ ค่อยนำมาใช้ ผมคิดว่าการเติมเงินเข้าไปในระบบเศรษฐกิจ เราจะไม่ไปแย่งเม็ดเงินของการลงทุนที่ควรลง ลงให้เต็มที่ก่อน แล้วเหลือเท่าไหร่ก็เท่านั้น เพราะเราก็ไม่รู้ว่า คนจะมาลงทะเบียนเท่าไหร่ และวิธีการเติมเม็ดเงินก็มีหลายวิธี เติมเท่าไหร่ เติมกี่งวด เติมอย่างไร มีอะไรที่เราจะคิด เมื่อไปประกอบกับการใช้งบประมาณของประเทศแล้ว ได้ผลดีที่สุด ดังนั้นวันนี้ไม่มีโจทย์ว่าอย่างนั้นอย่างนี้ 100%” รัฐมนตรีคลังกล่าวและว่า

อีกส่วนหนึ่งก็อยู่ระหว่างคิดจะใช้หรือไม่ใช้ ในกรณีการใช้เงิน ถ้า ธ.ก.ส.มีความจำเป็นต้องใช้เงินมาก จนเต็มวงเงิน รัฐบาลก็จะไม่ไปใช้ของ ธ.ก.ส. ยืนยันการจัดลำดับความสำคัญอยู่ที่อันอื่น ผมคิดว่าการเติมเงินนี่เป็นการเติมเงินเพื่อกระตุ้น เพื่อให้เศรษฐกิจกระชุ่มกระชวยขึ้น เท่าที่เม็ดเงินเอื้อด้วย

Q4 ได้ใช้ดิจิทัลวอลเลต

นอกจากนี้ นายพิชัยยืนยันว่า การดำเนินนโยบายของรัฐบาล ไม่ได้ฝากความหวังการกระตุ้นเศรษฐกิจไว้กับดิจิทัลวอลเลตอย่างเดียว แต่เป็นการใส่เม็ดเงินลงไปเพื่อช่วยกระตุ้นเท่านั้น แต่เรื่องที่มีความสำคัญลำดับต้น ๆ ก็ต้องทำ ก็คือ การปรับโครงสร้าง เพื่อให้เพิ่มผลผลิต ทำโครงสร้างพื้นฐานให้เอื้อต่อการท่องเที่ยว รัฐบาลให้ความสำคัญกับเรื่องเหล่านี้ก่อน ส่วนบีโอไอก็เร่งการลงทุนภาคเอกชน ส่วนภาคประชาชนก็เร่งแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน เอสเอ็มอี พวกนี้เป็นเรื่องสำคัญที่เราเร่งแก้

“รัฐก็สัญญาไว้ว่าจำนวนคนเท่านี้ แต่ถึงเวลาก็สามารถปรับรูปแบบได้ แน่นอนว่ารัฐบาลก็ต้องทำตามนโยบายที่กำหนดไว้ วันนี้เม็ดเงินมันเหือดแห้งจากข้างล่าง เหมือนน้ำในบ่อที่แห้ง ถ้าเราไม่เติมไป ก็จะแห้งลงไปอีก”

ส่วนคำถามที่ว่าไตรมาส 4 ประชาชนจะได้ใช้เงินดิจิทัลวอลเลตหรือไม่ นายพิชัยตอบว่า คนที่ดูแล ก็วางแผนไว้อย่างนั้น แต่ก็ต้องมาดูภาพทั้งหมด เพราะยังมีเวลาคิดอีก 2 เดือน อย่างที่ผมบอกว่าเราต้องให้ความสำคัญกับสิ่งที่ต้องทำก่อน ส่วนปัญหาเรื่องระบบเพย์เมนต์การใช้จ่ายของดิจิทัลวอลเลต ตอนนี้ทุกสถาบันการเงินก็กระตือรือร้นที่จะเข้ามามีส่วนร่วม โดยเฉพาะสถาบันการเงินใหญ่ ๆ น่าจะไม่เหลือบ่ากว่าแรงที่จะทำให้ระบบพร้อมใช้งานในไตรมาส 4 เพราะเขามีความพร้อมอยู่แล้ว