
“เศรษฐา” ลั่นกลองดันไทยผงาดศูนย์กลางการเงินโลก ภายใต้วิสัยทัศน์ “Ignite Thailand” ชี้ต้องปรับตัวรับอุตสาหกรรมการเงิน เปิดรับเงินนอกเข้ามาอยู่ในประเทศ ให้มีทั้ง Virtual Bank หรือการค้ำประกันสินเชื่อ มั่นใจช่วยเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจไทย ไม่ใช่แค่สถาบันการเงินได้ประโยชน์ แต่เป็นคนทั้งประเทศ ด้าน “เผ่าภูมิ” ชูกุญแจ 3 ดอก ทำให้ไทยเป็นตัวเลือกแรก ที่สถาบันการเงินทั่วโลกมาตั้งสาขา
นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เป็นประธานแถลงข่าวเปิดตัวโครงการศูนย์กลางการเงิน (Financial Hub) ภายใต้หัวข้อ Ignite Finance : Thailand’s Vision for a Global Financial Hub เปิดทางนำไทยสู่ศูนย์กลางการเงินโลก ภายใต้วิสัยทัศน์ “Ignite Thailand” โดยมีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง ผู้บริหารกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย ที่กระทรวงการคลัง
ไทยปรับตัวรับอุตฯการเงิน
นายเศรษฐากล่าวว่า นโยบายนี้เป็นการเปลี่ยนโครงสร้างอุตสาหกรรมของประเทศให้เติบโต จากภาคผลิตไปสู่ภาคบริการที่มีมูลค่าสูงมากขึ้น อุตสาหกรรมการเงินของไทยในช่วงที่ผ่านมาถือว่าแข็งแกร่ง จากการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจจากภาคการผลิตและภาคการท่องเที่ยว แต่การพึ่งพาเศรษฐกิจในประเทศเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอต่อการยกระดับโครงสร้างอุตสาหกรรมของไทย การพึ่งพาต่าง ๆ จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องปรับอุตสาหกรรมใหม่ ๆ ที่มีมูลค่าสูงขึ้นเข้ามาในประเทศ โดยเฉพาะเศรษฐกิจที่ใช้ความรู้ ความสามารถมากยิ่งขึ้น
หนึ่งในอุตสาหกรรมนั้นคือ อุตสาหกรรมการเงิน การลงทุน การธนาคาร เป็นการเปิดรับเงินนอกเข้ามาอยู่ในประเทศ ที่ผ่านมาเราเห็นประเทศเพื่อนบ้านของเราปรับแก้กฎหมายเป็นมิตรต่อการทำธุรกิจ หลาย ๆ บริษัทไม่ได้เข้ามาอยู่ในประเทศเพื่อค้าขายกับคนในประเทศ แต่เป็นการเข้ามาในประเทศเพื่ออาศัย Ecosystem ในการทำธุรกิจ ทำให้สามารถหา Talent ได้ เจรจาการค้าการลงทุนได้สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมบ้านเขาทำได้ แต่ที่ผ่านมาทำไมนักลงทุนไม่เลือกประเทศเรา
ย้ำต้องมีกฎหมายชัดเจน
การออกไปพูดคุยกับนักลงทุนที่ผ่านมาทำให้เราเข้าใจดีว่าหัวใจการสร้างอุตสาหกรรมนี้คือการมีกฎหมายที่ชัดเจนสำหรับการทำธุรกิจ การบังคับใช้กฎหมายที่เด็ดขาด เฉียบขาด และเป็นธรรม และการมี Facility สำหรับคนที่ทำงานดีพอ ซึ่งมั่นใจว่าของไทยอยู่ในระดับ World Class ทั้งสิ้น ทั้งสนามบิน โรงแรมที่พัก ร้านอาหาร โรงพยาบาล โรงเรียนอินเตอร์เนชันแนล สถานที่พักผ่อนหยอ่นใจ ความเป็นมิตรของคนไทยทุกคน ตัวกฎหมายที่เล่าไปก่อนหน้านี้ ทั้งการตั้ง One Stop Service สิทธิประโยชน์ ความชัดเจนของการบริหารเงินทุน จะเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้ไทยเติบโตเป็น Financial Frontier ของภูมิภาคได้
ช่วยเปลี่ยนโครงสร้าง ศก.
นายเศรษฐากล่าวอีกว่า ขณะเดียวกันการผลักดัน Innovation ใหม่ ๆ ในระบบการเงิน ทั้ง Virtual Bank หรือการค้ำประกันสินเชื่อ จะสร้าง Inclusive Innovation ด้านการเงินให้กับคนไทย ทำให้การเข้าถึงระบบการเงินทำได้สะดวกยิ่งขึ้น นำไปสู่การลงทุน การสร้างงาน การหาเงินเลี้ยงครอบครัว ยกระดับชีวิตของประชาชนคนไทยทุกคน
ถ้าเรามองทั้ง Ecosystem การเป็นศูนย์กลางทางการเงินไม่ได้มีแค่การลงทุน หลักทรัพย์ หรือ Virtual Bank ยังมีภาคบริการที่เป็น Professional Service อีกหลายสาขาที่สามารถเติบโตไปด้วยกัน ที่ปรึกษากลยุทธ์ ที่ปรึกษากฎหมาย ที่ปรึกษาเทคโนโลยี ที่ปรึกษาการลงทุน ตนมั่นใจว่าเติบโตไปด้วยกันได้
นอกจากสร้างงานให้คนไทยได้ทำงานในบริษัทชั้นนำระดับโลก ยังเป็นการเชื่อมต่อภาคธุรกิจไทยไปยังตลาดโลก ผ่านองค์ความรู้ความสามารถผ่านเครือข่ายบริษัทเหล่านี้ด้วย ย้ำว่า การเป็นศูนย์กลางด้านการเงินไม่ได้สร้างประโยชน์ต่อธนาคาร หรือสถาบันการเงินเพียงอย่างเดียว แต่เป็นกลยุทธ์ในการดึงดูดเงินลงทุน ดึงดูดคนมีความรู้ความสามารถ และดึงดูดองค์ความรู้ให้เข้ามาอยู่ในประเทศ สร้างประโยชน์ให้กับเศรษฐกิจของโลกในประเทศไทย
“ผมถือว่านโยบายนี้เปลี่ยนโครงสร้างทางเศรษฐกิจโดยที่ไม่ต้องใช้งบประมาณการลงทุน และมีผลตอบแทนมหาศาลต่อประเทศ คุ้มค่าอย่างยิ่งที่จะเดินหน้าไปด้วยกัน” นายเศรษฐากล่าว
กุญแจ 3 ดอก พลิกโฉม
ด้านนายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง เปิดเผยถึงวิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์ภายใต้ “Ignite Finance” ว่า การวางแผนและเป้าหมายที่มุ่งเน้นการปฏิรูปการกำกับดูแลการประกอบธุรกิจทางการเงิน สิทธิประโยชน์รูปแบบใหม่ และการเสริมสร้างระบบนิเวศทางการเงินที่เอื้อต่อการประกอบธุรกิจ และให้ประชาชนสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ในอัตราที่เหมาะสม ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการเงินโลก หรือ Thailand Financial Center ที่จะเน้นการประกอบธุรกิจหลัก 5 ประเภท ได้แก่ ธุรกิจธนาคาร ธุรกิจหลักทรัพย์ ธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล และธุรกิจประกันภัย ผ่าน 3 กุญแจสำคัญ
1.กฎหมายที่พร้อมรับอนาคต : โดยได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการยกร่างกฎหมายที่มีความยืดหยุ่น โปร่งใส และเอื้อต่อการประกอบธุรกิจ ภายใต้โครงการ Ignite Thailand ภาครัฐจะผลักดันร่างกฎหมายที่จะสร้างกรอบการกำกับดูแลแบบเบ็ดเสร็จ เพื่อให้กระบวนการทั้งหมด ตั้งแต่การขอใบอนุญาตจนถึงการกำกับดูแลมีประสิทธิภาพ อีกทั้งเพื่อให้มีการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างรวดเร็วและตอบโจทย์ผู้ประกอบธุรกิจ เพื่อขยายขอบเขตและบทบาทของภาคการเงินของประเทศไทยในเวทีโลก
ดันไทยเป็นตัวเลือกแรก
2.สิทธิประโยชน์รูปแบบใหม่ : Ignite Finance จะสร้างให้ประเทศไทยเป็นตัวเลือกแรกที่สถาบันการเงิน หรือผู้ให้บริการทางการเงิน เลือกที่จะมาตั้งสาขาและประกอบธุรกิจ ด้วยสิทธิประโยชน์รูปแบบใหม่ ซึ่งรวมถึงการจัดตั้งบริษัทและการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว การให้วีซ่าทำงานแก่บุคลากร และวีซ่าที่เกี่ยวข้องของครอบครัว การจัดเก็บภาษีที่เทียบเท่ากับศูนย์กลางการเงินอื่น โครงการเพิ่มแรงจูงใจอื่น ๆ เช่น เงินสนับสนุน (Grant)
3.ระบบนิเวศแห่งอนาคต : Ignite Finance จะพัฒนากรอบกฎหมายที่เข้มแข็งและโปร่งใสที่จะเป็นพื้นฐานที่สำคัญในการทำธุรกิจทางการเงิน เหมือนที่ประเทศไทยได้ออกกฎหมายว่าด้วยการประกอบสินทรัพย์ดิจิทัล รวมถึงให้ความสำคัญกับโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย เพื่อสนับสนุนธุรกิจและคุณภาพชีวิตของบุคลากร
ตั้งค้ำประกันเครดิตแห่งชาติ
นอกจากนี้ กระทรวงการคลังจะพลิกโฉมนโยบายระบบสถาบันการเงิน ด้วยการริเริ่มนโยบายระบบสถาบันการเงินภายในประเทศที่สำคัญ โดยกระทรวงการคลังร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย ออกประกาศกระทรวงการคลัง เพื่อให้มีการประกอบธุรกิจธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา (Virtual Bank) และการจัดตั้งสถาบันค้ำประกันเครดิตแห่งชาติ (National Credit Guarantee Agency : NaCGA) โดยนโยบายดังกล่าวมุ่งหวังที่จะส่งเสริมการแข่งขันที่เป็นธรรม และเพิ่มการเข้าถึงทางการเงินของประชาชนและผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เพื่อให้ระบบการเงินมีประสิทธิภาพ มั่นคง และตอบโจทย์ของประชาชน