ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า ตลาดฟันธงเฟดหั่นดอกเบี้ยเดือน ก.ย.

dollar money

ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า ตลาดฟันธงเฟดหั่นดอกเบี้ยเดือน ก.ย.

วันที่ 19 กรกฎาคม 2567 ฝ่ายค้าเงินตราต่างประเทศ ธนาคารกรุงเทพรายงานว่า ภาวะการเคลื่อนไหวของตลาดปริวรรตเงินตราประจำวันที่ 15-19 กรกฎาคม 2567 ค่าเงินบาทเปิดตลาดวันจันทร์ (15/7) ที่ระดับ 36.23/24 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่าเล็กน้อยจากระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (12/7) ที่ระดับ 36.18/20 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ดีในช่วงต้นสัปดาห์ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐยังปรับตัวอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินสกุลหลัก ถึงแม้ว่าสหรัฐจะมีการเปิดเผยดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ที่สูงกว่าคาดในวันศุกร์ (12/7)

โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐ มีการเปิดเผยดัชนี PPI ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้ผลิตประจำเดือน มิ.ย. โดยดัชนี PPI ทั่วไป (Headline PPI) ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 2.6% ในเดือน มิ.ย. เมื่อเทียบรายปี สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 2.3% จากระดับ 2.4% ในเดือน พ.ค. และเมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี PPI ทั่วไป ปรับตัวขึ้น 0.2% ในเดือน มิ.ย. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 0.1% หลังจากทรงตัวในเดือน พ.ค.

ส่วนดัชนี PPI พื้นฐาน (Core PPI) ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 3.0% ในเดือน มิ.ย. เมื่อเทียบรายปี สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 2.5% จากระดับ 2.6% ในเดือน พ.ค. และเมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี PPI พื้นฐาน ปรับตัวขึ้น 0.4% ในเดือน มิ.ย. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 0.2% จากระดับ 0.3% ในเดือน พ.ค.

แต่อย่างไรก็ตาม ดอลลาร์สหรัฐยังคงถูกกดดันอย่างต่อเนื่องจากการเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อที่ต่ำกว่าคาด อีกทั้งในวันศุกร์ (12/7) มหาวิทยาลัยมิชิแกนมีการเปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐออกมาต่ำสุดในรอบ 8 เดือนในเดือน ก.ค. ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) โดยดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐ ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 66.0 ในเดือน ก.ค. ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 68.5 จากระดับ 68.2 ในเดือน มิ.ย. โดยได้รับผลกระทบจากความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจและความไม่แน่นอนในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ

ในส่วนของคืนวันจันทร์ (15/7) นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวสุนทรพจน์ที่สมาคมเศรษฐกิจแห่งวอชิงตันดีซี (EconomicClub of Washington, D.C.) ซึ่งถือเป็นการแสดงความเห็นของนายพาวเวลล์เป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่เจ้าหน้าที่เฟดจะเริ่มเข้าสู่ช่วงงดเว้นการแสดงความเห็นเกี่ยวกับนโยบายการเงิน (Blackout Period) ในวันเสาร์นี้ (20/7) และก่อนที่เฟดจะจัดการประชุมกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ในวันที่ 30-31 ก.ค. โดยระบุว่า เฟดจะไม่รอจนกว่าเงินเฟ้อปรับตัวสู่เป้าหมายที่ระดับ 2% ก่อนที่จะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ย เหตุผลในเรื่องนี้ก็คือ ถ้าเรารอจนกว่าเงินเฟ้อลงถึง 2% จะเป็นการรอคอยที่นานเกินไป เนื่องจากมาตรการคุมเข้มทางการเงินที่เรากำลังใช้อยู่นั้น ยังคงส่งผลกระทบที่อาจทำให้เงินเฟ้อลดลงต่ำกว่า 2%

ADVERTISMENT

นอกจากนี้ เขาไม่คิดว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะเผชิญกับภาวะทรุดตัวลงอย่างรุนแรง หลังมีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยระหว่างสัปดาห์ตลาดยังคงรอดูการแสดงความคิดเห็นของเจ้าหน้าที่เฟดหลายท่าน สำหรับตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ ที่มีการเปิดเผย ได้แก่ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขานิวยอร์ก เปิดเผยดัชนีภาคการผลิต (Empire State Index) ปรับตัวลงสู่ระดับ -6.6 ในเดือน ก.ค. และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ -5.5 จากระดับ -6.0 ในเดือน มิ.ย.

กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกปรับตัวขึ้น 0.0% หรือไม่มีการเปลี่ยนแปลงในเดือน มิ.ย. เมื่อเทียบรายเดือน สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 0.3% หลังจากที่ปรับตัวขึ้น 0.3% ในเดือน พ.ค. ส่วนเมื่อเทียบรายปี ยอดค้าปลีกเพิ่มขึ้น 2.3% ในเดือน มิ.ย. หลังจากปรับตัวขึ้น 2.6% ในเดือน พ.ค. หากไม่รวมยอดขายรถยนต์และน้ำมัน ยอดค้าปลีกเพิ่มขึ้น 0.8% ในเดือน มิ.ย. เมื่อเทียบรายเดือน สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 0.2% จากระดับ 0.3% ในเดือน พ.ค.

ADVERTISMENT

ทั้งนี้ ยอดค้าปลีกที่แข็งแกร่งเกินคาดทำให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นว่า การใช้จ่ายของผู้บริโภคซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 70% ของระบบเศรษฐกิจสหรัฐนั้นยังคงฟื้นตัว แม้เฟดใช้นโยบายคุมเข้มด้านการเงิในช่วงที่ผ่านมาก็ตาม และข้อมูลดังกล่าวยังช่วยให้นักลงทุนคลายความกังวลว่าอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูงจะไม่ส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอย

สำหรับปัจจัยภายในประเทศ ในช่วงต้นสัปดาห์นี้ ค่าเงินบาทปรับตัวแข็งค่าในกรอบเดิมเมื่อเทียบจากช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา แม้ว่าค่าเงินบาทจะปรับตัวอ่อนค่าช่วงสั้น ๆ ในวันจันทร์ (15/7) ตามค่าเงินหยวน โดยค่าเงินหยวนได้รับแรงกดดันจากการที่จีนรายงานตัวเลข GDP ไตรมาส 2/2567 ออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาด โดยเมื่อเทียบรายปี ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศจีนปรับตัวขึ้น 4.7% ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 5.1% และปรับตัวลดลงจากไตรมาส 1 ที่ระดับ 5.3%

อย่างไรก็ดี ค่าเงินบาทได้แรงหนุนกลับจากการพุ่งขึ้นของราคาทองคำและการปรับตัวในแนวแข็งค่าของสกุลภูมิภาค รวมถึงการที่นักลงทุนให้น้ำหนักมากขึ้นที่เฟดอาจปรับลดอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้ จากเดิมที่เคยคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพียง 1-2 ครั้ง ขณะที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้อัปเดตรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลก (WEO) เมื่อวันที่ 16 ก.ค. 67 โดยยังคงคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปีนี้เอาไว้ที่ 3.2% และปีหน้าเป็น 3.3% ไม่เปลี่ยนแปลงจากรายงานเดิมเมื่อเดือน เม.ย. แต่ได้ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจสหรัฐลงเล็กน้อยในปีนี้ 0.1% ลงมาอยู่ที่ 2.6% แต่ปรับเพิ่มคาดการณ์ในเขตเศรษฐกิจใหญ่อื่น ๆ เช่น จีนเพิ่มขึ้น 0.% เป็นเติบโต 5% ในปีนี้ได้ตามเป้า และเพิ่มของ “อินเดีย” อีก 0.2% เป็นเติบโตได้ 7% ในปีนี้

สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจไทย นั้น IMF ปรับเพิ่มคาดการณ์จีดีพีไทยปีนี้อีก 0.2% ไปอยู่ที่ 2.9% ส่วนในปีหน้าเพิ่มอีก 0.2% เป็นเติบโต 3.1% อีกทั้ง ธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) ปรับเพิ่มคาดการณ์เติบโตเศรษฐกิจเอเชียในปี 2567 ขึ้นเป็น 5.0% ขณะที่เศรษฐกิจไทย ADB ยังคงปีนี้ไว้ที่ 2.6% และ 3.0% ในปีหน้า ทั้งนี้ระหว่างสัปดาห์ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 35.82-36.28 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ และปิดตลาดในวันศุกร์ (19/7) ที่ระดับ 36.28/30 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ

สำหรับความเคลื่อนไหวของค่าเงินยูโร เปิดตลาดวันจันทร์ (15/7) ที่ระดับ 1.0885/89 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร ทรงตัวจากระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (12/7) ที่ระดับ 1.0885/89 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร โดยเมื่อวันจันทร์ (15/7) มีการเปิดเผยดัชนีการผลิตภาคอุตสาหกรรมของยูโรโซน ปรับตัวลดลง 0.6% ในเดือน พ.ค.เมื่อเทียบรายเดือนสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่จะลดลง 0.9% หลังจากปรับตัวลดลง 0.1% ในเดือนที่ผ่านมา โดยในช่วงต้นสัปดาห์นี้ค่าเงินยูโรปรับตัวผันผวนในกรอบจนกว่าจะมีการรับรู้ปัจจัยใหม่ ๆ เพิ่มเติมทั้งฝั่งยูโรโซนและสหรัฐ

ขณะที่ในช่วงปลายสัปดาห์ค่าเงินยูโรปรับตัวอ่อนค่าลงเมื่อเทียบดอลลาร์สหรัฐ หลังจากธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุม ตามการคาดการณ์ของตลาด โดยการตรึงอัตราดอกเบี้ยของ ECB ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยเงินฝากอยู่ที่ระดับ 3.75% ขณะที่อัตราดอกเบี้ยเงินกู้อยู่ที่ระดับ 4.50% ส่วนอัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์อยู่ที่ระดับ 4.25% โดยนักลงทุนให้น้ำหนัก 80% ต่อคาดการณ์ที่ว่า ECB จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเดือน ก.ย. ก่อนที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% อีกครั้งในเดือน ธ.ค. ทั้งนี้ระหว่างสัปดาห์ค่าเงินยูโรเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 1.0870-1.0947 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร และปิดตลาดในวันศุกร์ (19/7) ที่ระดับ 1.0878/82 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร

สำหรับการเคลื่อนไหวของค่าเงินเยน เปิดตลาดวันจันทร์ (15/7) ที่ระดับ 158.10/11 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าจากระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (12/7) ที่ระดับ 159.21/22 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ แม้ว่าเมื่อวันจันทร์ (15/7) ที่ผ่านมา ตลาดญี่ปุ่นจะปิดทำการเนื่องในวัน Marine Day แต่ค่าเงินเยนยังปรับตัวแข็งค่าต่อเนื่องเมื่อเทียบค่าเงินดอลลาร์ ขณะที่การแข็งค่าขึ้นอย่างมากของค่าเงินเยน ทำให้เกิดคำถามในตลาดว่า ญี่ปุ่นได้เข้ามาแทรกแซงตลาดปริวรรตเงินตราต่างประเทศเพื่อหนุนให้เงินเยนแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐหรือไม่ ขณะที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของประเทศญี่ปุ่นยังคงไม่ออกมายืนยันหรือปฏิเสธการแทรกแซงตลาด

อย่างไรก็ดี นายฮายาชิปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นเมื่อถูกถามว่า ญี่ปุ่นได้เข้าแทรกแซงตลาดเพื่อหนุนให้เงินเยนแข็งค่าขึ้น 2 วันติดต่อกันในสัปดาห์ที่แล้วหรือไม่ ซึ่งนักวิเคราะห์บางรายสังเกตเห็นถึงความคล้ายคลึงกันระหว่างการแทรกแซงตลาดเมื่อสัปดาห์ที่แล้วกับการแทรกแซงเมื่อวันที่ 1 พ.ค. หลังความคิดเห็นเชิงนโยบายจากนายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งผลกระทบต่อเงินดอลลาร์

โดยข้อมูลของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) แสดงให้เห็นว่าญี่ปุ่นอาจใช้เงินถึง 3.57 ล้านล้านเยน (2.251 หมื่นล้านดอลลาร์) ในการเข้าแทรกแซงเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ทั้งนี้ระหว่างสัปดาห์ค่าเงินเยนเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 15536-158.85 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ และปิดตลาดในวันศุกร์ (19/7) ระดับ 157.42/45 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ