
เงินบาทอ่อนค่ากลับมาช่วงปลายสัปดาห์ ขณะที่หุ้นไทยปรับตัวลงตามแรงขายของสถาบันในประเทศ จับตาปัจจัยสำคัญสัปดาห์หน้า ตัวเลขการส่งออกเดือน มิ.ย.ของไทย ทิศทางเงินทุนต่างชาติ ประเด็นการเมืองในประเทศ ผลประกอบการไตรมาส 2/2567 สถานการณ์สกุลเงินในภูมิภาค และประเด็นเกี่ยวกับการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ
วันที่ 21 กรกฎาคม 2567 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย สรุปความเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทว่า เงินบาทแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบ 4 เดือน ก่อนจะลดช่วงบวกและอ่อนค่ากลับมาในช่วงปลายสัปดาห์ หลังเงินดอลลาร์ทยอยฟื้นตัวขึ้นตามทิศทางบอนด์ยีลด์สหรัฐ
เงินบาทแข็งค่าหลุดแนว 36.00 บาทต่อดอลลาร์ ไปแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบ 4 เดือนที่ 35.82 บาทต่อดอลลาร์ ในช่วงกลางสัปดาห์ ตามทิศทางการแข็งค่าของสกุลเงินอื่น ๆ ในเอเชีย นำโดยเงินเยนซึ่งแข็งค่าขึ้นท่ามกลางการคาดการณ์ว่า ทางการญี่ปุ่นอาจเข้าแทรกแซงตลาดเพื่อสกัดไม่ให้เงินเยนอ่อนค่าเร็ว
นอกจากนี้ เงินบาทยังได้รับอานิสงส์จากการปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ของราคาทองคำในตลาดโลก ประกอบกับ Sentiment ของเงินดอลลาร์ ยังคงอ่อนแอลงท่ามกลางกระแสการคาดการณ์เกี่ยวกับแนวโน้มการลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ
อย่างไรก็ดี เงินบาทลดช่วงบวกและกลับมาเคลื่อนไหวในกรอบที่อ่อนค่ากว่าแนว 36.00 บาทต่อดอลลาร์อีกครั้ง ตามจังหวะแรงขายทำกำไรทองคำในตลาดโลก ขณะที่เงินดอลลาร์ฟื้นตัวกลับมาตามทิศทางบอนด์ยีลด์สหรัฐ หลังจากที่ตลาดปรับตัวตอบรับแนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดในช่วงที่เหลือของปีนี้ไปมากแล้ว ประกอบกับน่าจะมีแรงซื้อเงินดอลลาร์ ท่ามกลางแรงขายสินทรัพย์เสี่ยงอื่น ๆ ในช่วงปลายสัปดาห์ด้วยเช่นกัน
ในวันศุกร์ที่ 19 ก.ค. 2567 เงินบาทปิดตลาดในประเทศที่ระดับ 36.27 บาทต่อดอลลาร์ หลังแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบ 4 เดือน 35.82 บาทต่อดอลลาร์ ในระหว่างสัปดาห์ เทียบกับระดับ 36.19 บาทต่อดอลลาร์ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (12 ก.ค. 67)
สำหรับสถานะพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติระหว่างวันที่ 15-19 ก.ค. 2567 นั้น นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทย 1,755.2 ล้านบาท แต่มีสถานะเป็น Net Outflows ออกจากตลาดพันธบัตรไทย 1,118.3 ล้านบาท (ขายสุทธิพันธบัตร 785.3 ล้านบาท และตราสารหนี้หมดอายุ 333 ล้านบาท)
สำหรับสัปดาห์ถัดไป (22-26 ก.ค.) ธนาคารกสิกรไทยมองกรอบการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทที่ระดับ 36.00-36.50 บาทต่อดอลลาร์ ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ตัวเลขการส่งออกเดือน มิ.ย.ของไทย ทิศทางเงินทุนต่างชาติ สถานการณ์สกุลเงินในภูมิภาค และประเด็นเกี่ยวกับการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ
ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่สำคัญ ได้แก่ ยอดขายบ้านมือสอง ยอดขายบ้านใหม่ ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน และอัตราเงินเฟ้อที่วัดจากดัชนีราคา PCE/Core PCE เดือน มิ.ย. ดัชนีความเชื่อมั่นและตัวเลขคาดการณ์เงินเฟ้อในมุมมองของผู้บริโภคสหรัฐ เดือน ก.ค. ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 2/2567 (Advanced) และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ นอกจากนี้ ตลาดยังรอติดตามการกำหนดอัตราดอกเบี้ย LPR ของธนาคารกลางจีน และดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคบริการ (เบื้องต้น) เดือน ก.ค.ของญี่ปุ่น ยูโรโซน อังกฤษและสหรัฐด้วยเช่นกัน
ส่วนความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทย ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลงเกือบตลอดสัปดาห์ ท่ามกลางแรงขายของกลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศ
หุ้นไทยปรับตัวลงตั้งแต่ช่วงต้นสัปดาห์ ท่ามกลางแรงขายจากกลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศ โดยเฉพาะในหุ้นกลุ่มแบงก์จากความกังวลเกี่ยวกับปัญหาของบริษัทในหมวดพลังงานและสาธารณูปโภคแห่งหนึ่งซึ่งอาจมีผลกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้
นอกจากนี้ การปรับตัวลงของหุ้นไทยในช่วงต้นสัปดาห์ยังสอดคล้องกับตลาดหุ้นในภูมิภาค หลังจากตัวเลขจีดีพีไตรมาส 2/2567 ของจีนออกมาอ่อนแอกว่าตลาดคาดการณ์ ทั้งนี้หุ้นไทยปรับตัวขึ้นช่วงสั้น ๆ ในเวลาต่อมา โดยมีแรงซื้อของกลุ่มนักลงทุนต่างชาติเข้ามาหนุน
อย่างไรก็ดี หุ้นไทยร่วงลงอีกครั้งในช่วงปลายสัปดาห์ตามแรงขายหุ้นกลุ่มแบงก์ หลังประกาศผลประกอบการไตรมาส 2/2567 และกลุ่มโรงไฟฟ้าจากความกังวลเรื่องการตรึงค่าไฟของภาครัฐ ประกอบกับนักลงทุนมีความระมัดระวังในการลงทุนระหว่างรอติดตามประเด็นการเมืองในประเทศและการประกาศผลประกอบการไตรมาส 2/2567 ของ บจ.ไทย อนึ่ง สัปดาห์นี้หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวขึ้นสวนทางภาพรวมจากประเด็นข่าวการควบรวมกิจการระหว่างบริษัทที่ประกอบธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคมและบริษัทที่ดำเนินธุรกิจด้านพลังงาน
ในวันศุกร์ที่ 19 ก.ค. 2567 ดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,317.14 จุด ลดลง 1.12% จากระดับปลายสัปดาห์ก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 39,763.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.34% จากสัปดาห์ก่อน ส่วนดัชนี mai ลดลง 5.53% มาปิดที่ระดับ 336.79 จุด
สัปดาห์ถัดไป (22-26 ก.ค.) บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนีหุ้นไทยมีแนวรับที่ 1,310 และ 1,300 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,325 และ 1,335 จุด ตามลำดับ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ตัวเลขส่งออกเดือน มิ.ย.ของไทย ประเด็นการเมืองในประเทศ ผลประกอบการไตรมาส 2/2567 ของ บจ.ไทย และทิศทางเงินทุนต่างชาติ
ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่สำคัญ ได้แก่ ยอดขายบ้านมือสอง ยอดขายบ้านใหม่ ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน รายได้และรายจ่ายส่วนบุคคล ดัชนีราคา PCE/Core PCE เดือน มิ.ย. ดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคบริการ (เบื้องต้น) เดือน ก.ค. ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 2/2567 รวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ขณะที่ปัจจัยเศรษฐกิจต่างประเทศอื่น ๆ ได้แก่ การกำหนดอัตราดอกเบี้ย LPR เดือน ก.ค.ของจีน และดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคบริการ (เบื้องต้น) เดือน ก.ค.ของญี่ปุ่น ยูโรโซน และอังกฤษ