ส่อง 6 กองทุน กำลังเปิดขาย ช่วงเดือน ส.ค. นี้ มีกองไหนบ้าง ?

การออมเงิน เหรียญ นับเหรียญ ขั้นบันได
Photo by Towfiqu barbhuiya on Unsplash

ส่อง 6 กองทุน กำลังเสนอขายกองทุน ระหว่างช่วงเดือน สิงหาคม 2567 นี้ มีกองทุนไหนบ้าง เช็กเลย

วันที่ 3 สิงหาคม 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงเดือนที่ผ่านมา มีบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ได้เปิดขายกองทุนมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหลาย บลจ.ก็ได้รับผลตอบรับค่อนข้างดีจากนักลงทุน เนื่องจากการลงทุนในกองทุนรวม สามารถเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย ตามระดับความเสี่ยงที่รับไหว และมีผู้จัดการกองทุนคอยดูแลบริหารเงินลงทุนให้ จึงช่วยเพิ่มโอกาสให้นักลงทุนได้รับผลตอบแทนมากขึ้น ทั้งนี้ ประชาชาติธุรกิจ จึงได้รวบรวมกองทุนที่กำลังเปิดขายช่วงระหว่าง เดือน ส.ค. นี้ ดังนี้

บลจ.อีสท์สปริง เปิดตัว 2 กองทุนใหม่ ขายถึง 8 ส.ค.นี้

บลจ.อีสท์สปริง เปิดตัว 2 กองทุนใหม่พร้อมกัน เพื่อเป็นการเพิ่มโอกาสทางเลือกการลงทุนให้กับผู้ลงทุนในช่วงนี้ ประกอบด้วย กองทุนเปิดอีสท์สปริง Performance-Linked Complex Return 2Y4MA (ES-LINK2Y4MA) อายุ 2 ปี 4 เดือน เงินลงทุนโครงการ 4,000 ล้านบาท และกองทุนเปิดอีสท์สปริง พันธบัตรรัฐมุ่งรักษาเงินต้น 6M23 (ES-GOVCP6M23) อายุประมาณ 6 เดือน เงินลงทุนโครงการ 6,000 ล้านบาท และจะเปิดเสนอขายครั้งแรกครั้งเดียวพร้อมกันระหว่างวันที่ 1-8 สิงหาคม 2567 นี้ ด้วยเงินลงทุนขั้นต่ำเพียง 1,000 บาท

กองทุนเปิดอีสท์สปริง Performance-Linked Complex Return 2Y4MA (ES-LINK2Y4MA) เป็นกองทุนรวมผสมประเภทที่มีการจ่ายผลตอบแทนซับซ้อน และมีสัดส่วนการลงทุนในต่างประเทศไม่เกิน 79% โดยมีกลยุทธ์การลงทุนครั้งเดียว (buy-and-hold) ซึ่งแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ

ส่วนที่ 1 กองทุนมีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้และ/หรือเงินฝากและ/หรือตราสารเทียบเท่าเงินฝากทั้งในประเทศและ/หรือต่างประเทศที่มีอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ในอันดับที่สามารถลงทุนได้ (Investment Grade) ประมาณ 95-98% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยมีเป้าหมายเพื่อให้เงินลงทุนเติบโตเป็น 100% ของเงินลงทุนทั้งหมดเมื่อครบอายุโครงการ ซึ่งจะมีการป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน (Hedging) สำหรับการลงทุนในตราสารหนี้และ/หรือเงินฝากและ/หรือตราสารเทียบเท่าเงินฝากต่างประเทศทั้งจำนวน

ส่วนที่ 2 กองทุนจะลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivatives) ประเภทสัญญาออปชั่น (Option) หรือสัญญาวอร์แรนท์ (Warrant) ที่มีการจ่ายผลตอบแทนอ้างอิงกับดัชนี Solactive Global Income Fund 5% VT USD ER ตามเงื่อนไขการจ่ายผลตอบแทนเพื่อเปิดโอกาสให้กองทุนสามารถแสวงหาผลตอบแทนส่วนเพิ่มจากการเปลี่ยนแปลงของดัชนี Solactive Global Income Fund 5% VT USD ER โดยจะลงทุนประมาณ 2.00-5.00% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ทั้งนี้ กองทุนจะไม่ป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนสำหรับการลงทุนในสัญญาออปชั่นหรือสัญญาวอร์แรนท์

Advertisment

บลจ. พรินซิเพิล ขายกองทุน PRINCIPAL INDIAEQ 1-9 ส.ค.นี้

บลจ. พรินซิเพิล แนะนำกระจายพอร์ตการลงทุนในตลาดหุ้นอินเดียรับเศรษฐกิจที่เติบโตแรงและยังได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องจากรัฐบาล คาด GDP ปี 2567 – 2568 เติบโตไม่ต่ำกว่า 7% ต่อปี และคาดการณ์กำไรบริษัทจดทะเบียนจะเติบโตถึง 9.3% ในปีนี้ และ 15.13% ในปีหน้า เปิดตัวกองทุนเปิด PRINCIPAL INDIAEQ เสนอขาย IPO 1 – 9 ส.ค.นี้ เข้าลงทุนใน Ashoka WhiteOak India Opportunities Fund (AIOF) เป็นกองทุนหลัก บริหารงานโดย White Oak Capital Partners ที่ก่อตั้งโดยอดีตผู้บริหารระดับสูงของบริษัทจัดการระดับโลก เน้นลงทุนหุ้นคุณภาพดีในอุตสาหกรรมเติบโตสูง ชูผลตอบกองทุนหลักผลตอบแทนย้อนหลัง 5 ปี สูงถึง 163.74%

Mr.Ayush Abhijeet, Investments Director, White Oak Capital Partners เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นอินเดียเป็นตลาดมีที่ความน่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการกระจายความเสี่ยงการลงทุนไปในตลาดหุ้นที่มีโอกาสเติบโตสูงในปี 2567 เนื่องจากเศรษฐกิจอินเดียเติบโตอย่างแข็งแกร่ง มีโครงสร้างประชากรที่เอื้อต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจ และการสนับสนุนจากนโยบายของรัฐบาล

Advertisment

โดยคาดการณ์ว่าอินเดียจะเป็นหนึ่งในประเทศที่เศรษฐกิจขยายตัวเร็วที่สุดในโลก โดยมีการประมาณการว่า GDP ปี 2567 และ 2568 จะมีอัตราเติบโตถึง 7.8% และ 7% ตามลำดับ สอดคล้องกับการคาดการณ์ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ที่คาดว่าเศรษฐกิจอินเดียจะเติบโตเฉลี่ย 6.5% ในช่วง 5 ปีข้างหน้า

บลจ.กรุงศรี เปิดกองทุน KFGBTHAIESG-A 57 ถึงวันที่ 6 ส.ค.นี้

บลจ.กรุงศรี เปิดกองทุน KFGBTHAIESG-A รับโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีจากแนวโน้มดอกเบี้ย พร้อมเติบโตไปกับตราสารหนี้กลุ่มความยั่งยืน เสนอขายครั้งแรก 1 – 6 สิงหาคมนี้ โดย มีนโยบายเน้นลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน  ที่มีความน่าเชื่อถือสูงชี้เป็นจังหวะที่ได้ประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยในตลาดปัจจุบัน

บลจ.กรุงศรี มองว่าปัจจุบันเป็นช่วงที่ดีสำหรับการลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐไทยที่มีความน่าเชื่อถือ   และมีความเสี่ยงต่ำ ช่วยในการกระจายความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาดหุ้น  และยังได้รับประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยในปัจจุบัน  โดยอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยในปัจจุบันอยู่ที่ 2.5% ซึ่งเป็นระดับสูงที่สุดในรอบ 10 ปี และคาดว่าได้สิ้นสุดวัฎจักรขาขึ้นของดอกเบี้ยในรอบนี้แล้ว จึงมีความเสี่ยงขาลงอยู่ในระดับที่จำกัด

โดยอัตราดอกเบี้ยนโยบายไทยมีแนวโน้มทรงตัวหรือปรับลดลงได้ในปีนี้   ถือเป็นปัจจัยบวกต่อการลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอายุเฉลี่ยค่อนข้างยาว  และในกรณีที่อัตราดอกเบี้ยปรับตัวลดลงก็จะได้รับประโยชน์จากราคาที่มีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกด้วย

บลจ. ไทยพาณิชย์ ขายกองทุน SCBTHOR1YE ถึง 6 ส.ค.นี้

บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด หรือ SCBAM พร้อมเปิดเสนอขายกองทุน SCBTHOR1YE หรือ “กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ Inverse Floater THOR Complex Return 1YE ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย” ที่ยังคงรูปแบบนโยบายลงทุนเดียวกัน เปิดเสนอขายครั้งเดียววันที่ 30 กรกฎาคม-6 สิงหาคม 2567 เริ่มต้นลงทุนขั้นต่ำ 500,000 บาท

สำหรับกองทุน SCBTHOR1YE เป็นกองทุน Complex Fund อายุ 1 ปี ที่ยังคงนโยบายและกลยุทธ์การลงทุนที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้จากการแบ่งเงินลงทุนออกเป็น 2 ส่วนคือ

1) ลงทุนตราสารหนี้และเงินฝากทั้งในและต่างประเทศ ระดับ Investment Grade เพื่อล็อกผลตอบแทนคงที่จากอัตราดอกเบี้ยของตราสารหนี้ โดยคัดเลือกลงทุนในตราสารที่มีความน่าเชื่อถือเพื่อลดความเสี่ยงต่อการขาดทุนของเงินต้น โดยกองทุนจะได้รับเงินต้นคืนพร้อมผลตอบแทนเมื่อครบกำหนดอายุโครงการ และ

2) ลงทุนโดยการเข้าทำธุรกรรมสัญญาแลกเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย (IRS : Interest Rate Swap) อ้างอิงกับอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงตลาดซื้อคืนพันธบัตรภาคเอกชนระยะข้ามคืนระหว่างธนาคารไทย (Thai Overnight Repurchase Rate : THOR) ซึ่งเป็นการลงทุนเพื่อหาโอกาสสร้างผลตอบแทนส่วนเพิ่มตามแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในตลาดที่มีรูปแบบการจ่ายผลตอบแทนแบบลอยตัว สวนทางกับอัตราดอกเบี้ย THOR ที่อ้างอิง ซึ่งกองทุนจะพิจารณาผลตอบแทนรวมทุก 3 เดือน จากส่วนต่าง 4.75-THOR% ต่อปี (*)

ในกรณีที่ค่าเฉลี่ยของอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง THOR 3 เดือน ปรับตัวขึ้นมากกว่าหรือเท่ากับ 3.0% (ต่อปี) (ซึ่งเป็นระดับ Cap Rate ที่กำหนดไว้) ผู้ถือหน่วยจะมีโอกาสได้รับผลตอบแทนตามเงื่อนไขที่ 1.75% โดยกองทุนมีกำหนดจ่ายผลตอบแทนครั้งเดียวในวันครบอายุโครงการ (*ผู้ลงทุนสามารถศึกษาข้อมูลลักษณะการจ่ายผลตอบแทนของกองทุนเพิ่มเติมได้จากหนังสือชี้ชวน)

บลจ.ยูโอบี ขายกองทุน UGOV6M15 ถึงวันที่ 8 ส.ค.นี้

บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม ยูโอบี (ประเทศไทย) จำกัด หรือ บลจ.ยูโอบี ได้เสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรก (IPO) กองทุนเปิด ยูไนเต็ด พันธบัตรรัฐ 6 เดือน 15 (UGOV6M15) อายุประมาณ 6 เดือน ประมาณการผลตอบแทน 2.10% ต่อปี (ข้อมูลจากอัตราผลตอบแทนที่เสนอโดยผู้ออกตราสาร หรือจากผู้ขาย ณ วันที่ 25 กรกฎาคม 2567) ขนาดโครงการ 10,000 ล้านบาท โดยเสนอขายในราคา 10 บาทต่อหน่วย และยอดลงทุนขั้นต่ำ 1,000 บาท

กองทุน UGOV6M15 มีความเสี่ยงระดับ 3 จะลงทุนในพันธบัตรหรือตราสารหนี้ที่รัฐบาล กระทรวงการคลัง หรือธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นผู้ออก ผู้รับรอง ผู้รับอาวัล หรือผู้ค้ำประกันรวมกันไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าที่ทรัพย์สินสุทธิ สำหรับเงินลงทุนส่วนที่เหลือจะลงทุนในตราสารหนี้และ/หรือเงินฝากของสถาบันการเงินหรือธนาคารที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้งขึ้น รวมทั้งอาจลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินอื่นหรือการหาดอกผลโดยวิธีอื่นตามที่สำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. กำหนดหรือเห็นชอบให้กองทุนลงทุนได้

เน้นลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ในอันดับที่สามารถลงทุนได้ (Investment Grade) อย่างไรก็ดี กองทุนอาจมีไว้ซึ่งตราสารหนี้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือต่ำกว่าที่สามารถลงทุนได้ (Non – Investment grade) ได้เฉพาะกรณีที่ตราสารหนี้นั้นได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่สามารถลงทุนได้ (Investment grade) ขณะที่กองทุนลงทุนเท่านั้น

ทั้งนี้ กองทุนจะไม่ลงทุนในตราสารที่มีลักษณะของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแฝง (Structured Notes) โดยกองทุนมีกลยุทธ์การลงทุนแบบครั้งเดียว โดยจะถือทรัพย์สินที่ลงทุนไว้จนครบอายุโครงการของกองทุนรวม (buy-and-hold)

กองทุน UGOV6M15 ไม่มีค่าธรรมเนียมการขายหรือรับซื้อคืนหน่วยลงทุน กองทุนนี้จะรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติเมื่อสิ้นสุดอายุโครงการ โดยการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนไปยังกองทุนรวมตลาดเงิน คือ กองทุนเปิด ยูโอบี ชัวร์ เดลี ชนิดเพื่อผู้ลงทุนทั่วไป (UOBSD) และ/หรือกองทุนรวมตราสารหนี้อื่นใดที่บริษัทจัดการเปิดให้บริการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุน ซึ่งเป็นกองทุนรวมภายใต้การจัดการของบริษัทจัดการ แล้วแต่กรณี

ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามคำแนะนำของผู้สนับสนุนการขายหรือรับซื้อคืน ซึ่งจะต้องอยู่ภายใต้กรอบที่บริษัทจัดการกำหนด โดยจำนวนหน่วยลงทุนของกองทุนปลายทางที่ผู้ถือหน่วยลงทุนจะได้รับ คำนวณโดยใช้ราคาขายหน่วยลงทุนของกองทุนปลายทาง ณ วันทำการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนโดยอัตโนมัติของกองทุนต้นทาง