ดร.นิเวศน์ เปิดสูตรลงทุน-บทเรียน-ผลตอบแทน ‘หุ้นเวียดนาม’

ดร.นิเวศน์ หุ้นเวียดนาม แ

ดร.นิเวศน์ ต้นแบบนักลงทุนวีไอ เปิดสูตรการลงทุนที่เคยเปลี่ยนชีวิต ชี้พอร์ตหุ้นที่ถือควรจะมีหุ้นหลัก 5-6 ตัว ตัวใหญ่ที่สุดไม่ควรเกิน 50% ของพอร์ตในทุกช่วงเวลา ปลื้มผลตอบแทน 4 หุ้นซุปเปอร์สต็อกทำผลงานได้ยอดเยี่ยมเหนือกว่าดัชนีถึง 45.5% ในช่วงเวลา 2 ปี 7 เดือน พร้อมเผยบทเรียนหุ้นเวียดนาม

วันที่ 4 สิงหาคม 2567 ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนรายใหญ่สายเน้นคุณค่า (Value Investor) เปิดเผยว่า บทความวันนี้ของผมจะอ้างอิงบทความที่ผมเคยเขียน 3 บทความเกี่ยวกับการลงทุนและการเลือกหุ้นลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามคือ

บทความแรกชื่อ Super Stock ในตลาดหุ้นเวียดนาม ที่เขียนขึ้นเมื่อวันที่ 8 มกราคม 2565 หรือประมาณ 2 ปี 7 เดือน มาแล้ว ในบทความนั้น ผมเขียนว่า หุ้นที่อาจจะกลายเป็น “ซุปเปอร์สต็อก” และได้แสดงศักยภาพออกมาบ้างแล้ว น่าจะรวมถึง “หุ้นค้าปลีกสมัยใหม่ เช่น MWG หุ้น VRE ซึ่งเป็นผู้นำหมายเลขหนึ่งของการเป็นช็อปปิ้งมอล์ของเวียดนาม หุ้น ACV ซึ่งเป็นผู้บริหารท่าอากาศยานของเวียดนาม หุ้น FPT ซึ่งเป็นผู้นำหมายเลขหนึ่งในด้านของการเป็นบริษัทรับงานเอาต์ซอร์ซงานเขียนโปรแกรมให้กับบริษัทไฮเทคทั่วโลก

ลงทุนในหุ้นท็อป 10 แห่งอนาคต

บทความที่สองที่เขียนขึ้นเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2566 เรื่อง “ลงทุนในหุ้นท็อป 10 แห่งอนาคต” ซึ่งผมพูดถึงกลยุทธ์การลงทุนระยะยาวแบบ “กึ่ง Passive” ในตลาดหุ้นเวียดนามและผมเลือกหุ้น 10 ตัวจากหุ้นที่ใหญ่ที่สุด 20 ตัว ในวันนั้น ที่น่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะเวลา 10 ปีข้างหน้า

หุ้น 10 ตัวที่ผมเลือกก็คือ 1) หุ้น VCB หรือเวียดคอมแบงก์ซึ่งเป็นแบงก์และเป็นหุ้นที่ใหญ่ที่สุดในตลาดหุ้นเวียดนาม 2) หุ้น VHM หรือหุ้นวินโฮมที่เป็นหุ้นอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในเวียดนาม 3) หุ้น GAS หรือเปโตรเวียดนามที่คล้ายกับหุ้น ปตท. ของไทย 4) หุ้น VNM หรือวีนามิ้ลค์ บริษัทขายนมและผลิตภัณฑ์นมที่ใหญ่ที่สุดในเวียดนาม 5) หุ้น FPT 6) หุ้น MSN หรือหุ้นมาซันกรุ๊ป ผู้นำทางด้านการผลิตอาหาร เช่นบะหมี่สำเร็จรูปและเนื้อสัตว์ 7) หุ้น SAB หรือซาเบโก้ บริษัทผลิตเบียร์ที่ใหญ่ที่สุดของเวียดนาม 8) MWG 9) หุ้น VRE และ 10) หุ้น ACV

ที่น่าสังเกตก็คือ หุ้น 10 ตัวที่ผมเลือกนั้น มี 4 ตัวที่ซ้ำกับหุ้นที่ผมคิดว่ามีโอกาสที่จะเป็นหุ้น “ซุปเปอร์สต็อก” ซึ่งในความหมายของผมก็คือ หุ้นที่มีโอกาสจะเติบโตมหาศาลขนาดที่ Market Cap. โตเป็น 10 เท่า ในเวลา 10 ปีได้ นั่นก็คือ หุ้น FPT, MWG, VRE และ ACV

Advertisment

บทความที่สามก็คือบทความที่ผมเพิ่งเขียนเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2567 เรื่อง “หุ้นหมายเลข 1 เวียดนาม” ซึ่งผมทำนายว่าหุ้น FPT มีโอกาสที่จะเป็นหุ้นที่โดดเด่นและใหญ่ที่สุดในแง่ของ Market Cap. ของเวียดนามในอีก 10 ปีข้างหน้า เหตุผลก็เพราะว่าเศรษฐกิจของเวียดนามจะเติบโตเร็วและแข็งแกร่งและมีความสามารถในการแข่งขันทางด้านเทคโนโลยีระดับโลก ซึ่งก็จะนำโดยบริษัท FPT ซึ่งเป็นบริษัทที่ยิ่งใหญ่และเหนือกว่าบริษัทเทคโนโลยีเวียดนามอื่น ๆ มากอยู่แล้วในปัจจุบัน

เวลาที่ผ่านมาเกือบ 3 ปี ผมคิดว่าเราควรมา “ทบทวนความคิด” เพื่อที่ว่าจะได้เรียนรู้ว่าสิ่งใดถูกต้องและสิ่งใดผิดพลาด เพื่อที่ว่าจะได้สามารถปรับเปลี่ยนแนวทางและกลยุทธ์ในการลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามให้เหมาะสมขึ้นในช่วงเวลาต่อจากนี้ไปอีกอย่างน้อย 7 ปี ที่เป็นเป้าหมายการลงทุนระยะยาวของเรา

Advertisment

ผลตอบแทน 4 หุ้น ซุปเปอร์สต็อก

สิ่งที่จะต้องดูอันดับแรกก็คือ ผลงานของหุ้นแต่ละตัวตั้งแต่วันที่ 8 มกราคม 2565 จนถึงล่าสุดวันที่ 2 สิงหาคม 2567 ของหุ้นที่ถูกคิดว่าจะเป็นหุ้น “ซุปเปอร์สต็อก” 4 ตัว นั่นก็คือ ผลตอบแทนราคาของหุ้น MWG ที่ติดลบประมาณ 6.1% ในช่วงเวลา 2 ปี 7 เดือน หุ้น VRE ติดลบ 47.8%

ในขณะที่หุ้น FPT บวกถึง 114.3% และหุ้น ACV บวก 52.5% เฉลี่ยแล้วหุ้นซุปเปอร์สต็อกให้ผลตอบแทน 28.2% ในช่วงเวลา 2 ปี 7 เดือน เทียบกับดัชนีตลาดหุ้นเวียดนามที่ติดลบถึง 17.3% ดังนั้นภาพโดยรวมแล้ว หุ้นซุปเปอร์สต็อกทำผลงานได้ยอดเยี่ยมเหนือกว่าดัชนีถึง 45.5% ในช่วงเวลา 2 ปี 7 เดือน

อย่างไรก็ตาม หุ้น MWG มีผลตอบแทนติดลบเล็กน้อย ซึ่งทำให้มีข้อกังวลว่าในอีกกว่า 7 ปีข้างหน้าจะต้องทำผลงานที่ยอดเยี่ยมจริง ๆ เพื่อที่จะสามารถเป็นซุปเปอร์สต็อกที่แท้จริง ในส่วนของหุ้น VRE นั้น ต้องถือว่าน่าผิดหวังมาก เพราะหุ้นตกลงไปถึงเกือบ 50% เหตุผลสำคัญน่าจะมาจากการที่เป็นบริษัทในกลุ่มวินกรุ๊ป ซึ่งกำลังประสบกับปัญหาเรื่องธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้าที่ไม่ประสบความสำเร็จ ซึ่งทำให้นักลงทุนขาดความเชื่อมั่นที่จะเข้าลงทุนในหุ้น VRE ที่มีรายการเกี่ยวพันกับหุ้นวินกรุ๊ปค่อนข้างมาก

ประเด็นที่สองก็คือ ผลงานของ “หุ้นท็อป 10 ในอนาคต” หลังจากที่ผ่านมาประมาณ 9 เดือน นับจากวันที่ 27 ตุลาคม 2566 ถึง วันที่ 2 สิงหาคม 2567 หุ้นที่มีผลตอบแทนไม่ดีมากที่สุดและเป็นกลุ่มที่ติดลบหรือขาดทุนก็คือหุ้น VRE ที่ลบ 21.6% เนื่องจากปัญหาบรรษัทภิบาล หุ้น SAB ลบ 12.7% เนื่องจากปัญหาการควบคุมแอลกอฮอล์จากรัฐบาลที่เข้มงวดมาก ส่วนหุ้น VHM ลบ 8.2% ที่มีทั้งปัญหาจากบริษัทแม่คือวินกรุ๊ปและปัญหาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ตกต่ำในช่วงนี้

หุ้น VNM ที่ดูเหมือนว่าธุรกิจค่อนข้างอิ่มตัวแต่ก็ยังบวก 5.1% และสุดท้ายคือหุ้น GAS ที่ติดลบ 1.7% ซึ่งก็คงเป็นเพราะเรื่องของอุตสาหกรรมน้ำมันที่อาจจะกำลังถูกดิสรัปต์จากกระแสรถไฟฟ้าระดับโลก นอกเหนือจากการเป็นสินค้าโภคภัณฑ์

หุ้น FPT ผลงานดีที่สุด

หุ้นกลุ่มท็อป 10 ที่มีผลงานดีประกอบไปด้วยหุ้นที่ “ดีที่สุด” คือหุ้น FPT ที่ให้ผลตอบแทนทางด้านราคาถึง 62.7% ในเวลาแค่ 9 เดือน อาจจะตาม “กระแสหุ้นเทคโลก” กลุ่ม Magnificent 7 ที่เติบโตขึ้นแรงมากในช่วงเวลาเดียวกัน

หุ้นที่ดีรองลงมาก็คือ ACV ที่บวกไปถึง 49.2% อานิสงค์จากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและกำไรที่เพิ่มขึ้นมาก หุ้น MWG บวก 49.8% อานิสงส์จากการฟื้นตัวของธุรกิจหลังจากที่ซบเซาลงมากหลังโควิด-19 ที่คนลดการซื้อโทรศัพท์มือถือลง รวมถึงธุรกิจร้านซุปเปอร์มาร์เก็ตมีผลงานที่ดีขึ้นมาก

หุ้น MSN ทำผลงานเป็นบวก 24.9% ด้วยเหตุผลว่าเศรษฐกิจฟื้นตัวและการบริโภคดีขึ้นอย่างชัดเจน และสุดท้ายก็คือหุ้นแบงก์ VCB ที่ยังบวกได้ที่ 4.9% แม้ว่าสภาวะเกี่ยวกับตลาดหนี้โดยเฉพาะหุ้นกู้จะไม่ดีนักอานิสง์จากการล้มละลายของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์หลายแห่งโดยเฉลี่ยแล้ว

หุ้น Top-Ten แห่งอนาคตให้ผลตอบแทน 15.5% ในช่วงเวลาประมาณ 9 เดือน และพอ ๆ กับดัชนีตลาดหุ้นเวียดนามที่ให้ผลตอบแทน 14.9% ในช่วงเวลาเดียวกัน

บทเรียนจากผลงานการลงทุนในหุ้นท็อปเทนแห่งอนาคตนับถึงจุดนี้ก็คือ มันเป็นกลยุทธ์ที่ใช้ได้ดีพอสมควร แต่ถ้าจะว่าไปก็อาจจะไม่คุ้มมากนักสำหรับคนที่ลงทุนด้วยเงินจำนวนไม่มากนัก เทียบกับการลงทุนในกองทุนรวมอิงดัชนีตลาดที่ทำได้ง่ายกว่าและไม่ต้องดูแลอะไรเลยเพียงแต่ต้องเสียค่าบริหารกองทุนจำนวนไม่มากนัก

หวังรวย แนะลงทุนซุปเปอร์สต็อก-ถือยาว

บทเรียนที่สำคัญจากผลงานของหุ้นกลุ่มซุปเปอร์สต็อก 4 ตัวก็คือ ถ้านักลงทุน หวังจะรวยหรือ “เปลี่ยนชีวิต” จากการลงทุนได้จริง ๆ จากคนชั้นกลางที่ “ไม่ได้มีต้นทุนจากทางบ้าน” กลายเป็นเศรษฐีโดยไม่ต้องเสี่ยงและทำงานหนักมากเกินไปหรือต้อง “โกง” โดยการ “กินเงินคนอื่น” เช่นการปั่นหุ้นและ/หรือการทำผิดกฎหมาย หนทางหนึ่งที่ทำได้ก็คือการมองหา “ซุปเปอร์สต็อก” ที่ให้ผลตอบแทนดีเยี่ยมและถือให้ยาวที่สุด

และในระหว่างนั้นก็ต้องคอยตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอและปรับพอร์ตซุปเปอร์สต็อกถ้าจำเป็น เนื่องจากบางครั้งมันก็อาจจะมีปัญหาที่แก้ไขได้ยาก หรืออาจจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญในสภาพแวดล้อมที่ทำให้มันไม่เป็นซุปเปอร์สต็อกอีกต่อไปอย่างในกรณีของหุ้น VRE

นอกจากนั้น เราก็จะต้องคอยดูว่าหุ้นตัวไหนจะมีศักยภาพที่โดดเด่นขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็น “สุดยอดหุ้นหมายเลข 1” ที่เราอาจจะต้องเพิ่มน้ำหนักในพอร์ตมากกว่าหุ้นสุดยอดอื่น อย่างในกรณีของหุ้น FPT หรือ ACV เพราะด้วยวิธีนี้ เราอาจจะสามารถเพิ่มผลตอบแทนทบต้นระยะยาวให้สูงขึ้นกว่าผลตอบแทนเฉลี่ยของตลาดในระดับ +10% ต่อปีขึ้นไป แบบที่บัฟเฟตต์เคยตั้งเป้าไว้ในช่วงแรก ๆ ของการบริหารพอร์ตการลงทุนของตนเอง

สูตรลงทุนสไตล์ ดร.นิเวศน์

ก่อนจะจบ ผมเองก็ยังต้องเตือนว่า ไม่ว่าหุ้นจะดีแค่ไหนในสายตาของเรา สิ่งเลวร้ายก็เกิดขึ้นได้เสมอ หน้าที่ของเราก็คือ ต้องกระจายความเสี่ยงให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ นั่นก็คือ ไม่ใช้มาร์จิ้นและการกู้เงินมาลงทุน พอร์ตหุ้นที่ถือควรจะมีหุ้นหลัก ๆ ประมาณ 5-6 ตัว และตัวที่ใหญ่ที่สุดก็ไม่ควรจะเกิน 50% ของพอร์ตในทุกช่วงเวลา และนี่ก็คือสูตรของการลงทุนที่เคยเปลี่ยนชีวิตผมที่ตลาดหุ้นไทยที่ผมกำลังใช้อีกครั้งหนึ่งในตลาดหุ้นเวียดนามเกือบ 30 ปีต่อมา

ผมไม่ได้หวังที่จะได้ผลตอบแทนแบบเดิม เพราะผมคงไม่ “โชคดี” แบบนั้นอีกในชีวิตการลงทุนในตลาดหุ้นไทยหลังปีวิกฤตต้มยำกุ้ง 2540 แต่ก็เชื่อว่าน่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีในระดับ 10% ต่อปีแบบทบต้นไปอีก 10 ปี และถ้าเป็นแบบนั้น ผมเองก็พอใจแล้ว ส่วนที่เกินจากนั้นก็คงต้องอาศัย “โชค” ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นหรือไม่