ตลท. ชี้หุ้นตก นลท. ตื่นตระหนก “กำไร บจ.” ตัวชี้วัดเงินทุนไหลกลับ

หุ้น

ตลาดหลักทรัพย์ ชี้หุ้นตกหนัก นักลงทุนตื่นตระหนกเกินไป แนะจับตา 2 เรื่อง ตัวเลขการจ้างงานและ PMI ของสหรัฐจะออกมาแย่ต่อเนื่องหรือไม่ และเฟดจะลดดอกเบี้ยในเดือน ก.ย. จริงหรือไม่ ชี้ “กำไรบริษัทจดทะเบียน” ตัวชี้วัดเงินทุนต่างชาติไหลกลับ มั่นใจงาน Thailand Focus ในปีนี้มีเซนติเมนต์ที่ดีขึ้นกับการลงทุนในประเทศไทย

วันที่ 7 สิงหาคม 2567 ดร.ศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ภาพรวมภาวะตลาดหุ้นไทยในเดือน ก.ค. 2567 ที่ผ่านมา ดัชนี SET ปรับตัวขึ้น 1.5% จากเดือนก่อนหน้า มาจาก 3 ปัจจัยคือ

1.เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวจากการส่งออกและการท่องเที่ยว และการใช้จ่ายภาครัฐที่เพิ่มขึ้น 2.ตลาดหลักทรัพย์ได้ออกมาตรการควบคุมการทำ Short sell และมาตรการ Uptick ส่งผลให้การทำชอร์ตเซลลดลง ซึ่งทำให้เม็ดเงินลงทุนต่างชาติลดลง สัดส่วนการซื้อขายโดยผู้ลงทุนในประเทศสูงขึ้น และ 3.ครม.ได้อนุมัติมาตรการภาษีใหม่สำหรับกองทุน Thai ESG เพิ่มการลดหย่อนภาษีเป็น 3 แสนบาท/คน/ปี และลดระยะเวลาการถือครองเหลือ 5 ปี

รวมทั้งจากกรณีถ้อยแถลงของ เจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่มีการส่งสัญญาณชัดเจนว่ามีแนวโน้มที่จะลดดอกเบี้ยครั้งแรกในเดือน ก.ย. 2567 โดยตลาดคาดเฟดจะลดดอกเบี้ยปีนี้ 2 ครั้ง

แต่ภายหลังจากสหรัฐประกาศตัวเลขการจ้างงานและตัวเลข PMI ออกมาแย่กว่าคาด ทำให้เกิดการตื่นตระหนกของนักลงทุน เพราะกังวลว่าเศรษฐกิจอาจกำลังเข้าสู่ภาวะถดถอย ประกอบกับ วอเรนต์ บัฟเฟต์ มีการขายหุ้นเพื่อเก็บเงินสดเพิ่มขึ้น หลังจากนั้นตลาดหุ้นต่าง ๆ ทั่วโลกนำโดยสหรัฐโดนแรงเทขายตั้งแต่ช่วงวันพฤหัสบดีและวันศุกร์ที่ 1-2 ส.ค. และลามมาถึงฝั่งเอเชีย โดยตลาดหุ้นญี่ปุ่นตกหนักวันเดียว 12% และตลาดหุ้นเกาหลีใต้ตกลง 8% ในช่วงวันจันทร์ที่ 5 ส.ค.

“เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเพราะนักลงทุน overreact มากเกินไป ขอเน้นย้ำว่าตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่ออกมาเป็นตัวเลขแค่เดือนเดียว ซึ่งปกติในมุมนักเศรษฐศาสตร์จะขอดูตัวเลขเศรษฐกิจอีก 1 เดือน เพื่อให้มั่นใจ อย่างไรก็ดีในวันนี้เห็นหลาย ๆ ดัชนีตลาดหุ้นเริ่มทยอยรีบาวนด์กลับขึ้นมาแล้ว แต่สิ่งที่นักลงทุนต้องติดตามมี 2 เรื่องคือ ตัวเลขการจ้างงานและ PMI ของสหรัฐจะออกมาแย่ต่อเนื่องหรือไม่ และประธานเฟดจะมีการลดดอกเบี้ยในเดือน ก.ย. จริงหรือไม่” ดร.ศรพล กล่าว

Advertisment

ในส่วนสถานการณ์เงินทุนต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) ปัจจุบันเริ่มเห็นสัญญาณฟันด์โฟลว์เริ่มกลับเข้ามาลงทุนในประเทศไทย โดยมีสถานะเข้าซื้อสุทธิพันธบัตรไทย แสดงถึงการที่เฟดส่งสัญญาณลดดอกเบี้ย กดดันให้เงินไหลออกจากสหรัฐ และเป็นสาเหตุที่เห็นค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นตลอดเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา

โดยมองว่าปัจจัยหรือทริกเกอร์สำคัญที่จะทำให้ฟันด์โฟลว์ไหลกลับมาซื้อสุทธิตลาดหุ้นไทยคือ ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนไทย (บจ.) หากกำไร บจ. มีการฟื้นตัวได้จากภาพเศรษฐกิจไทยที่มีการฟื้นตัวต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงไตรมาส 3-4 เป็นต้นไป ก็เชื่อว่าเงินที่พักอยู่ในพันธบัตรไทย ก็จะเกิดการโยกย้ายมาลงทุนในตลาดหุ้นไทยได้ตาม Growth Stroy

Advertisment

“เราเห็นตัวเลขกำไร บจ. ในไตรมาส 1/67 ไปแล้ว ซึ่งการโตสอดคล้องไปกับ GDP แต่กำไรในบางเซ็กเตอร์ โดยเฉพาะกลุ่มท่องเที่ยว +26% เพราะฉะนั้นกำลังรอดูกำไร บจ. ในไตรมาส 2/67 ซึ่งน่าจะสอดคล้องกับ GDP และน่าจะปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสแรก แต่สัญญาณชัดเจนน่าจะเริ่มเห็นในไตรมาส 3-4 ตามการเบิกจ่ายงบประมาณ รวมทั้งการท่องเที่ยวและส่งออกที่ทยอยฟื้นตัวได้ดียิ่งขึ้น”

นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า ช่วงนี้เป็นช่วงที่ตลาดหุ้นมีความผันผวนสูงมาก จึงอยากให้นักลงทุนใช้ข้อมูลวิเคราะห์ให้ดี เพราะมีทั้งความเสี่ยงและเป็นทั้งโอกาสในการลงทุน แต่อย่างไรก็ตามหากประเมินเศรษฐกิจไทยในระยะยาว อยู่ในจุดที่ค่อนข้างจะมีอัพไซด์มากกว่าดาวน์ไซด์ เพราะมีภาคท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว และภาครัฐเพิ่งเริ่มมีการเบิกจ่ายงบประมาณได้ โดยเฉพาะการเบิกจ่ายงบลงทุนที่ยังใช้น้อยอยู่

ส่วนการจัดงาน Thailand Focus ในปีนี้ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 28 ส.ค. มองว่าจะเป็นโอกาสดีในการได้ฟังความเห็นนักลงทุนต่างชาติ และได้ให้ข้อมูลต่าง ๆ ที่สำคัญกับนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งคาดว่าปีนี้น่าจะมีเซนติเมนต์ที่ดีขึ้นกับการลงทุนในประเทศไทย โดยเบื้องต้นมีบริษัทต่างชาติตอบรับเข้าร่วมงานแล้ว 50 บริษัท เดินทางมาในประเทศ 35 บริษัท และเข้าร่วมฟังทางออนไลน์ 15 บริษัท ส่วนที่เหลือเป็นบริษัทในประเทศไทยอีก 120 บริษัท ส่วนใหญ่มาฟังที่งาน 80-90% รวม ๆ มีบริษัทเข้าร่วม 150-60 บริษัท ซึ่งเท่ากับช่วงปี 2565