
ถอดถอน “เศรษฐา ทวีสิน” พ้นนายกรัฐมนตรี กระทบลงทุน-เศรษฐกิจเสี่ยง “ไพบูลย์ นลินทรางกูร” ซีอีโอ บล.ทิสโก้-นายกสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน ชี้พลิกความคาดหมาย ช่วงรอยต่อความเสี่ยงเพิ่ม-ตลาดหุ้นซึม ชี้เป็นจังหวะควรทบทวนนโยบายดิจิทัลวอลเลต เชื่อสุญญากาศการเมืองไม่นาน วัดฝีมือรัฐมนตรีใหม่จุดเศรษฐกิจให้ติดให้ได้ แนะเร่งเบิกจ่ายงบลงทุน 4 แสนล้านบาท ขับเคลื่อนเศรษฐกิจเดินหน้าไม่สะดุด
วันที่ 14 สิงหาคม 2567 นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส จำกัด กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ตามที่ศาลรัฐธรรมนูญอ่านคำวินิจฉัยคดีคุณสมบัตินายกรัฐมนตรี โดยมีมติ 5:4 วินิจฉัยถอดถอน นายเศรษฐา ทวีสิน สิ้นสุดการเป็นนายกรัฐมนตรี และทำให้คณะรัฐมนตรีสิ้นสภาพตามกฎหมาย อย่างไรก็ตาม ครม. ยังรักษาการอยู่จนกว่าจะมีการสรรหานายกรัฐมนตรีคนใหม่ และ ครม.ชุดใหม่ เข้าถวายสัตย์ปฏิญาณ
โดยนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทวงพาณิชย์ ซึ่งเป็นรองนายกรัฐมนตรี คนที่ 1 จะทำหน้าที่รักษาการนายกฯ แทน ในการบริหารราชการแผ่นดินภายใต้ “รัฐบาลรักษาการ”
ขณะที่กระบวนการในการสรรหานายกรัฐมนตรีคนใหม่ จะจัดให้มีการโหวตเลือกในสภาผู้แทนราษฎรภายใน 45-60 วัน โดยรายชื่อจะมาจากบัญชีที่อยู่ในลิสต์ของแต่ละพรรคร่วมรัฐบาลเสนอไป ส่วนใหญ่ตัวเลือกน่าจะเป็นพรรคที่มีคะแนนเสียงอันดับ 1 (พรรคเพื่อไทย) และอันดับ 2 (พรรคภูมิใจไทย) โดยการโหวตเลือกครั้งนี้จะไม่ยุ่งยากเหมือนรอบก่อน เพราะจะโหวตกันเฉพาะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ไม่มีสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ร่วมโหวต
สุญญากาศการเมืองแค่ช่วงสั้น
และถ้าหากดูคะแนนเสียงของพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งมีคะแนนเสียง 314 เสียง ก็น่าจะโหวตได้ไม่ยาก ดังนั้นสุญญากาศทางการเมืองน่าจะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ แค่ช่วงสัปดาห์ไม่ถึงกับนานเป็นเดือน ดังนั้นเมื่อสุญญากาศทางการเมืองแค่ช่วงสั้น ๆ ผลกระทบต่อเศรษฐกิจก็จะยิ่งน้อย โดยประเมินจากการจับมือของพรรคร่วมรัฐบาลที่ยังเข้มแข็งก็ไม่น่าจะเห็นการปรับเปลี่ยนนโยบายที่สำคัญ ยกเว้นแต่มีการเปลี่ยนขั้วสลับข้างเกิดขึ้นคงจะมีความยุ่งยาก
ส่วนการขับเคลื่อนนโยบายแจกเงินดิจิทัลวอลเลต 10,000 บาท ยังตอบไม่ได้ว่าจะเลื่อนออกไปหรือไม่ แต่เป็นนโยบายของพรรคเพื่อไทย ดังนั้นหากพรรคเพื่อไทยยังเป็นพรรคร่วมรัฐบาลและเป็นพรรคที่มีคะแนนเสียงมากที่สุด ก็เชื่อว่ามีโอกาสที่น่าจะขับเคลื่อนต่อไป
ด้านการลงทุนในสายตาของนักลงทุนต่างชาติ ประเด็นนี้กระทบและทำให้เสียจังหวะชะลอลงทุนไปบ้าง แต่สุญญากาศทางการเมืองแค่ช่วงสั้น ๆ และนโยบายสำคัญไม่เปลี่ยน ก็มองว่าสามารถจะเห็นเงินลงทุนไหลกลับเข้ามาได้
สำหรับภาวะตลาดหุ้นไทย (SET INDEX) ปิดต่ำกว่า 1,300 จุด มองภาพว่าบริเวณแนวรับ 1,280 จุด คงจะรักษาฐานตรงนี้ไว้ได้ และคงเห็นภาพตลาดหุ้นไทยค่อย ๆ ดีขึ้นหากไม่มีอะไรพลิกผันไปจากที่กล่าวข้างต้น
พลิกความคาดหมายนักลงทุน
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ จำกัด ในฐานะนายกสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA) และกรรมการสภาธุรกิจตลาดไทย (FETCO) กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า เหตุการณ์ครั้งนี้ถือว่าค่อนข้างพลิกความคาดหมายนักลงทุนส่วนใหญ่ จากช่วงที่ผ่านมามองว่านายกฯน่าจะไม่ถูกถอดถอน ยังสามารถอยู่ในตำแหน่งและขับเคลื่อนเศรษฐกิจต่อไปได้ ซึ่งภาพดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET INDEX) ช่วงเช้าวันนี้ก็วิ่งขึ้นเกินระดับ 1,300 จุดได้ แต่ไหลลงเมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีมติถอดถอน สิ้นสุดการเป็นนายกรัฐมนตรี
โดยมองว่าสุญญากาศทางการเมืองในครั้งนี้อาจจะไม่นาน เพราะยังมีรัฐมนตรีรักษาการที่ยังมีอำนาจเต็ม สามารถขับเคลื่อนนโยบายต่าง ๆ ต่อเนื่องไปได้จนมีรัฐบาลใหม่เข้ามา แต่ก็ต้องติดตามต่อไปว่าพรรคร่วมรัฐบาลจะผสมด้วยพรรคใหม่เพิ่มเข้ามา หรือมีการนำพรรคเดิมออกไปบ้างหรือไม่ และไปถึงขั้นหน้าตารัฐมนตรีใหม่จะเป็นอย่างไร และแต่ละพรรคยังได้ดูกระทรวงเดิมหรือไม่
“หัวใจสำคัญคืออยากให้มีการเสนอตัวนายกฯคนใหม่ได้เร็ว อย่าใช้เวลานาน เพื่อสายต่อนโยบาย ซึ่งมองว่าพรรคเพื่อไทยมีแผนเตรียมไว้แล้ว เพราะมีแค่ 2 รายชื่อคือ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร และ นายชัยเกษม นิติสิริ”
ชี้ควรทบทวนนโยบายดิจิทัลวอลเลต
นอกจากนี้อยากให้มีการทบทวนบางนโยบายที่มองว่ามีผลลัพธ์ที่ดี แต่การจะไปสู่ผลลัพธ์นั้นมีความไม่แน่นอนสูงอยู่ ก็อาจจะเปลี่ยนรูปแบบได้ เช่น นโยบายดิจิทัลวอลเล็ต ที่ทุกคนอยากเห็นเงินไปสู่ประชาชน และให้เกิดพายุหมุน 4-5 รอบ ที่รัฐบาลได้เคยเสนอมา ถ้าทำได้จริงก็ดี เอาเงินกระจายสู่ท้องถิ่น ไปสู่เอสเอ็มอี และขึ้นไปสู่ธุรกิจใหญ่ เพียงแต่ทางที่จะนำไปสู่ตรงนั้นยังมีความไม่แน่นอน โดยเฉพาะเรื่องระบบการชำระเงิน ดังนั้นถือโอกาสปรับรูปแบบทำให้สะดวกสบายกว่านี้ได้ เพราะไม่ได้ติดใจหากจะแจกเงินให้กับประชาชนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
ช่วงรอยต่อ ความเสี่ยงเพิ่ม ตลาดหุ้นซึม
นายไพบูลย์ กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตามช่วงรอยต่อตรงนี้ ต้องยอมรับว่ามีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น บรรยากาศลักษณะนี้จะกดดันให้นักลงทุนอาจจะยังไม่กล้าเข้ามาลงทุน ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยจะค่อนข้างซึม เคลื่อนไหวตามข่าวการเมือง จนทุกอย่างเริ่มนิ่ง แต่ข้อดีคือตลาดหุ้นไทยต่ำมากแล้ว และราคาหุ้นส่วนใหญ่ต่ำกว่าพื้นฐาน เพราะฉะนั้นเมื่อทุกอย่างนิ่ง ก็เชื่อว่าตลาดหุ้นก็พร้อมที่จะเดินหน้า เพราะวันนี้ปัจจัยต่างประเทศเริ่มดูดีขึ้น ทิศทางของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ชัดเจนว่าจะลดดอกเบี้ยถึง 3 ครั้ง ในปีนี้และต่อเนื่องไปถึงปีหน้า
“คิดว่านโยบายหลักคล้าย ๆ เดิม โดยจะอยู่ที่ฝีมือของตัวรัฐมนตรีใหม่ จึงต้องคัดสรรให้ดี เพราะวันนี้ไม่มีเวลาแล้ว ต้องเข้ามาบริหารและสานต่อหรือทำนโยบายใหม่ ๆ เพื่อจุดเศรษฐกิจให้ติดให้ได้”
ขณะที่ปัจจัยภายในประเทศ หากคลี่คลายเรื่องการเมืองได้เร็ว และระหว่างนี้รัฐมนตรีรักษาการถ้าเร่งการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2567 ในส่วนงบลงทุนอีกกว่า 4 แสนล้านบาท อย่างน้อยจะทำให้เศรษฐกิจเดินหน้าต่อไปได้
“ฝากนักลงทุนต้องตั้งสติให้ดีในช่วงนี้ อย่าผลีผลามกังวลรีบร้อนขายหุ้นออก เพราะวันนี้หุ้นส่วนใหญ่เทรดราคาที่ต่ำกว่าพื้นฐาน และเชื่อว่าทิศทางเศรษฐกิจเริ่มได้รับแรงช่วยเหลือจากต่างประเทศ ทั้งเรื่องท่องเที่ยว ส่งออก และทิศทางดอกเบี้ยโลกที่จะเริ่มลดลง ก็น่าจะช่วยเราได้พอสมควร และจะเห็นว่าเศรษฐกิจไทยไตรมาส 2-3 เริ่มมีท่าทีที่ดีขึ้นกว่าไตรมาส 1 โดยเริ่มโงหัวขึ้น ก็เชื่อว่าหุ้นไทยยังมีอัพไซด์อยู่พอสมควร” นายไพบูลย์ กล่าว