ไทยประกันชีวิต กำไรสุทธิครึ่งปีแรก 2567 อยู่ที่ 5,902 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.65% มูลค่ากำไรของธุรกิจใหม่ เพิ่มขึ้น 1.12% เฉพาะไตรมาส 2/67 กำไรพุ่ง 10.3% ผลจากกลยุทธ์มุ่งเน้นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูง-ขยายตลาดผ่านช่องทางขายหลากหลาย
วันที่ 15 สิงหาคม 2567 นายไชย ไชยวรรณ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ TLI เปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 (ม.ค.-มิ.ย.) บริษัทมีเบี้ยประกันภัยรับรวม 40,508 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.96% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน (YOY) มีมูลค่ากำไรของธุรกิจใหม่ (Value of New Business : VONB) อยู่ที่ 3,326 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.12% YOY โดยอัตรากำไรของธุรกิจใหม่ (VONB Margin) เพิ่มขึ้นถึง 6.1 จุด หรือมีอัตราสูงถึง 63.7% และมีกำไรสุทธิ 5,902 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.65%
“บริษัทยังคงรักษามูลค่ากำไรของธุรกิจใหม่ได้อย่างดี ซึ่งเป็นผลมาจากกลยุทธ์ด้านผลิตภัณฑ์ที่มุ่งเน้นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูง และการขยายตลาดผ่านช่องทางการขายที่หลากหลาย โดยมีช่องทางการขายหลักคือ ช่องทางตัวแทนประกันชีวิต และช่องทางพันธมิตร”
สำหรัยในไตรมาส 2/2567 บริษัทมีกำไรสุทธิ 2,770 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.3% YOY การเติบโตของกำไรสุทธิเป็นผลจากกำไรจากการรับประกันภัยที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ส่งผลให้กำไรในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ ปรับตัวเพิ่มขึ้น 4.6% อยู่ที่ 5,902 ล้านบาท โดยบริษัทสามารถทำกำไรจากการรับประกันภัยเติบโตถึง 16.4% YOY
โดยสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2567 มูลค่าพื้นฐานของกิจการ หรือ Embedded Value (EV) ของบริษัท มีมูลค่า 158,218 ล้านบาท เทียบเท่ากับมูลค่า 13.8 บาทต่อหุ้น ขณะเดียวกันบริษัทมีอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุน (CAR Ratio) อยู่ที่ 351% ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) กำหนดไว้อยู่ที่ 140% ซึ่งบริษัทให้ความสำคัญกับสถานะเงินทุนที่แข็งแกร่งอันเป็นรากฐานของการเติบโตอย่างยั่งยืน
ด้านการลงทุน บริษัทมีการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนอย่างระมัดระวังเพื่อให้เกิดผลตอบแทนที่ยั่งยืนแก่ผู้ถือหุ้น มีสินทรัพย์ลงทุนมากกว่า 80% ของสินทรัพย์ลงทุนทั้งหมด เป็นเงินลงทุนประเภทตราสารหนี้
นอกเหนือจากการสร้างการเติบโตอย่างมั่นคงแล้ว บริษัทยังให้ความสำคัญกับการยกระดับประสบการณ์ลูกค้าผ่านทางเทคโนโลยีดิจิทัลขั้นสูง โดยเฉพาะการสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านผลิตภัณฑ์และบริการ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในทุกช่วงของชีวิต (Life Stage) ทุกจังหวะชีวิต (Life Event) และทุกรูปแบบการใช้ชีวิต (Lifestyle) และสามารถตอบสนองความต้องการได้แบบเฉพาะบุคคล (Personalized)
ไทยประกันชีวิตจึงได้นำเทคโนโลยีมาเสริมประสิทธิภาพการให้บริการ เพื่อสร้างประสบการณ์ในรูปแบบ Smart Life ให้กับลูกค้า โดยพัฒนาแอปพลิเคชั่น ไทยประกันชีวิต (TLI Application) เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าในการเข้าถึงข้อมูลกรมธรรม์ และการทำธุรกรรมด้านประกันชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการชำระเบี้ยประกันภัย การเคลมสินไหม การรับเงินผลประโยชน์ตามกรมธรรม์ ฯลฯ
รวมถึงพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง อาทิ ฟีเจอร์ My Wellness Vital Scan การเช็กสุขภาพเบื้องต้นด้วยการใช้ AI สแกนใบหน้า ฟีเจอร์การจัดการกรมธรรม์คนในครอบครัว ที่สามารถดูข้อมูลกรมธรรม์และชำระเบี้ยฯ ให้กับคนในครอบครัวได้ รวมถึงสิทธิพิเศษต่าง ๆ ที่ครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์ผ่านไทยประกันชีวิต Privilege
นายไชยกล่าวว่า ไทยประกันชีวิตมุ่งสู่การเป็นบริษัทประกันชีวิตแห่งความยั่งยืนที่ส่งมอบคุณค่าให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย จึงได้นำแนวทาง ESG ผนวกเข้ากับกลยุทธ์ทางธุรกิจ ครอบคลุมทั้้งในมิติเศรษฐกิจ มิติสังคม มิติสิ่งแวดล้อม และธรรมาภิบาล ซึ่งสามารถดำเนินการได้อย่างเป็นรูปธรรม สะท้อนจากรางวัลและการคัดเลือกต่าง ๆ ที่บริษัทได้รับ
อาทิ ได้รับคัดเลือกให้เข้าอยู่ในทำเนียบของกลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 ประจำปี 2567 ของสถาบันไทยพัฒน์, รางวัล Asia Responsible Enterprise Awards 2024 (AREA 2024) สาขา Corporate Sustainability Reporting และรางวัลตราสัญลักษณ์แห่งความยั่งยืนระดับทองคำ จาก Enterprise Asia ประเทศสิงคโปร์ และอาคารไทยประกันชีวิต สำนักงานใหญ่ยังได้รับการรับรองมาตรฐานอาคารสีเขียวของสหรัฐอเมริกา หรือ LEED ระดับ Gold จาก U.S. Green Building Council (USGBC) & Green Business Certification Institute (GBCI) อีกด้วย