InnovestX คัด 5 กองทุนเด่นลงทุนต่างประเทศ รับโอกาสเติบโตระยะยาว

InnovestX คัด 5 กองทุนเด่นยอดนิยมลงทุนในตลาดต่างประเทศ โอกาสเติบโตระยะยาว แม้ในภาวะตลาดหุ้นไทยยัง Sideway จากปัจจัยรุมเร้าทั้งด้านเศรษฐกิจและการเมือง

วันที่ 16 สิงหาคม 2567 นายพยนต์ พงศาวรี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ผู้บริหารสายงานฝ่าย Wealth Products and Strategy บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด กล่าวว่า “InnovestX ประเมินมุมมองด้านเศรษฐกิจโลกมีทิศทางชะลอตัว โดยที่เศรษฐกิจสหรัฐ น่าจะเข้าสู่ภาวะ Soft landing เนื่องมาจากธนาคารกลางหลายประเทศรวมถึงเฟด จะเริ่มมีการปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินให้ผ่อนคลายมากขึ้นด้วยการลดดอกเบี้ย ซึ่ง InnovestX มีมุมมองว่าเฟดจะมีการลดดอกเบี้ย 2-3 ครั้งในปีนี้

ทั้งนี้ในระยะสั้นภาพการลงทุนอาจจะมีความผันผวนจากปัจจัยทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวดังกล่าว รวมถึงการเลือกตั้งของสหรัฐ อย่างไรก็ตามเรามองว่าผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนโดยรวมยังมีทิศทางการเติบโตที่ดี ดังนั้นจึงมองการปรับฐานของตลาดเป็นโอกาสที่ดีในการเพิ่มการลงทุนในพอร์ตผ่านกองทุนคุณภาพ ที่มีการกระจายการลงทุนในต่างประเทศทั่วโลก เพื่อหาโอกาสการสร้างผลตอบแทนในระยะยาว ในภาวะตลาดหุ้นไทยยัง Sideway จากปัจจัยรุมเร้าทั้งด้านเศรษฐกิจและการเมือง”

5 กองทุนแนะนำสำหรับการลงทุนในต่างประเทศ

  1. SCBWORLD(A) : กองทุนหลัก iShares MSCI World ETF (USD) มีกลยุทธ์การลงทุนแบบ Passive โดยอ้างอิงดัชนีหุ้นกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว รวม 23 ประเทศ สัดส่วนหลักของพอร์ตการลงทุนจะกระจายอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยี กลุ่มการเงิน กลุ่มบริการทางด้านสุขภาพ กลุ่มอุตสาหกรรม และกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย เหมาะสำหรับการเป็นจุดเริ่มต้นในกระจายพอร์ตการลงทุนไปยังหุ้นต่างประเทศ เนื่องจากหุ้นกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว มีความมั่นคง มีความโปร่งใส และมีสภาพคล่อง
  2. SCBS&P 500, SCBS&P500(A) : S&P500 Index มีมูลค่าตลาดกว่า 42 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ครอบคลุมประมาณ 80% ของมูลค่าตลาดหุ้นสหรัฐ เป็นตลาดหุ้นที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มีสภาพคล่องสูง และมีผลตอบแทนเฉลี่ย 10 ปีย้อนหลัง 02% ต่อปี มีการกระจายการลงทุนครอบคลุมหุ้นขนาดใหญ่ 500 บริษัทในสหรัฐ ซึ่งครอบคลุมหลายกลุ่มอุตสาหกรรม เช่น กลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มการเงิน กลุ่มสุขภาพ และกลุ่มบริโภค ประกอบด้วยหุ้นชั้นนำที่มีชื่อเสียง และเป็นผู้นำตลาดในด้านต่าง ๆ เช่น Apple, Microsoft, Alphabet, Amazon, Meta, Nvidia และ Tesla เป็นต้น
  3. SCBSEMI(A) : กองทุนหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ (Semiconductor) หัวใจหลักของอุตสาหกรรม AI และนวัตกรรมแห่งโลกอนาคต โดยสถาบัน Social Impact Assessment (SIA) คาดการณ์ว่าตลาด Semiconductor จะมีมูลค่าแตะระดับ 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2573 ความต้องการที่มีมากขึ้นทำให้เกิดโอกาสที่จะเกิดการขาดแคลนชิป ซึ่งเป็นตัวเร่งให้บริษัทผู้ผลิตชิปได้ประโยชน์จากการขายในราคาที่สูงขึ้น ตัวอย่างหุ้นชั้นนำในพอร์ตการลงทุน (ข้อมูล ณ วันที่ 30 มิ.ย. 67) ได้แก่
  • Broadcom : บริษัทเทคโนโลยีที่เชี่ยวชาญในการพัฒนาและผลิต Semiconductor และโซลูชั่นสำหรับการเชื่อมต่อ รวมถึงการผลิตชิปเซตที่ใช้ในอุปกรณ์สื่อสารต่าง ๆ
  • TSMC : บริษัทผู้ผลิตชิป Semiconductor รายใหญ่ที่สุดในโลก มีเทคโนโลยีและนวัตกรรมในการผลิตขั้นสูงที่ล้ำหน้า ซึ่งใช้ในชิปประมวลผลของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ชั้นนำทั่วโลก
  1. Principal VNEQ-A : ADB (Asian Development Bank) คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจเวียดนามจะมีการเติบโตเฉลี่ย 0% ในปี 2567 และ 6.2% ในปี 2568 โดยเวียดนามเป็นประเทศโดดเด่นที่สามารถดึงดูดเงินลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) ได้อย่างต่อเนื่อง และยังมีโอกาสเติบโตจากภาคการบริโภคในประเทศจากการเติบโตของชนชั้นกลางวัยหนุ่มสาว โดยกองทุน Principal VNEQ-A สามารถสร้างผลตอบแทนอันดับ 1 ในปี 2566 ในกลุ่มกองทุนเวียดนามในไทยเทียบกับกองทุนหุ้นเวียดนามในไทย ตัวอย่างหุ้นชั้นนำในพอร์ตการลงทุน (ข้อมูล ณ วันที่ 31 พ.ค. 67) ได้แก่
  • FPT Corporation : บริษัทเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดของเวียดนาม และเป็นอันดับ 1 ในอาเซียน ผู้ให้บริการครบวงจรด้าน IT เช่น การพัฒนาซอฟต์แวร์ การให้คำปรึกษาทางเทคโนโลยี และการจัดการระบบ IT รวมถึงยังมีบริการโซลูชั่นด้านการศึกษาดิจิทัลและการสื่อสารโทรคมนาคม
  • Mobile World Investment Corporation : บริษัทค้าปลีกอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และสินค้าอุปโภคบริโภคผ่านเครือข่ายร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ มีเครือข่ายร้านค้าที่ครอบคลุมทั่วประเทศ
  1. UGISFX-N : ลงทุนตราสารหนี้ทั่วโลก ผ่านกองทุน PIMCO GIS Income เป็นกองทุนหลัก ที่มีประวัติการจัดตั้งมาอย่างยาวนาน โดยนับตั้งแต่จัดตั้งในปี 2555 PIMCO GIS Income Fund สามารถสร้างผลตอบแทนในสกุลเงิน USD ได้เฉลี่ย 05% ต่อปี โดยในสภาวะที่เศรษฐกิจมีความไม่แน่นอน ตราสารหนี้ จะช่วยกระจายความเสี่ยงให้กับพอร์ต

ทั้งนี้ธนาคารกลางทั่วโลกเริ่มมีแนวโน้มที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งจะช่วยส่งผลให้ตราสารหนี้มีโอกาสได้รับกำไรจากส่วนต่างราคาตราสารหนี้ที่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น (Capital Gain) ซึ่งเป็นส่วนเสริมในการสร้างผลตอบแทนเพิ่มเติมนอกเหนือจากดอกเบี้ยที่ได้รับ (Coupon)