พิชัย ห่วงเศรษฐกิจไทยโตต่ำกว่าศักยภาพ มองใกล้วิกฤต แนะเร่งปรับตัว

นายพิชัย ชุนหวชิร

พิชัยห่วงเศรษฐกิจไทยโตต่ำกว่าศักยภาพ เผยใกล้ภาวะวิกฤต ชี้โอกาสไทยยังมีในระหว่างเศรษฐกิจโลกแบ่งขั้ว แนะเร่งปรับตัว หนุนต่างชาติเช่าอสังหาฯ 99 ปี รับการลงทุนใหม่

วันที่ 22 สิงหาคม 2567 นายพิชัย ชุนหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “ถอดรหัส…โอกาสเศรษฐกิจไทย” เปิดเผยว่า จากกรณีที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ ได้เปิดข้อมูลภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่ 2/67 ปีนี้ที่ผ่านมาขยายตัว 2.3% และไตรมาส 1/67 ที่ผ่านมาขยายตัว 1.6% ยังคาดการณ์ทั้งปี 2567 ขยายตัวได้ถึง 2.5%

โดยเศรษฐกิจไทยขยายตัวเพิ่มขึ้นจากในปีที่ผ่านมา ขยายตัว 1.9% ซึ่งหากย้อนหลังไป 20 ปี จีดีพีขยายตัว 1.9-2% เมื่อย้อนไปอีก 35 ปี จีดีพีขยายตัว 6-10% โดยศักยภาพไทยต้องเติบโตกว่านี้ คือ 3.5% และมองว่าศักยภาพของประเทศไทยสามารถปรับเปลี่ยนได้ แต่ถ้าไม่ได้ทำอะไรเลย เศรษฐกิจไทยจะอยู่ในภาวะใกล้วิกฤต

นายพิชัยกล่าวว่า โครงสร้างเศรษฐกิจไทยได้พึ่งพาการส่งออก 70% แต่เมื่อการส่งออกและเกิดการบริโภคจะไม่เป็นปัญหา เพราะถ้าเกิดการผลิต จะเกิดการจ้างงาน และการบริโภค ซึ่งในเวลานี้การส่งออกเหลือสัดส่วน 65% ต่อจีดีพี ในส่วนที่หายไป 5% เท่ากับค่าจีดีพีมากถึงกว่า 1% ที่หายไป นั่นเท่ากับว่า การผลิตของไทยไม่สามารถตอบสนองตลาดได้ ไม่สามารถแข่งขันตลาดได้ เพราะโลกเปลี่ยนไปเร็ว ซึ่งหมายถึงประเทศไทยปรับตัวไม่ทัน

ขณะที่ภาคเกษตรกรรม มีสัดส่วนต่อจีดีพี 10% แม้ปัจจุบันลดลงเหลือ 6% เพราะปรับตัวไม่ทัน และหากดูโครงสร้างพีระมิด ด้านบนสุดรายได้สูง รายได้ปานกลาง และฐานรากผู้ใช้แรงงาน จะทำอย่างไรให้แก้ปัญหาและให้ส่วนล่างเติบโต ถ้ายังไม่สามารถสร้างโอกาสไปพร้อมกันได้จะไม่สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ประเทศได้

นายพิชัยกล่าวว่า เศรษฐกิจโลกในปัจจุบันมีการแบ่งขั้วอย่างชัดเจน มีการย้ายฐานผลิตระหว่างประเทศมากขึ้น ซึ่งสถานการณ์เหล่านี้อาจเป็นโอกาสที่ดีของประเทศที่ไม่แบ่งขั้วชัดเจน อย่างเช่นประเทศไทย รวมทั้งด้วยจุดแข็งจากทำเลที่ตั้งของประเทศไทย ที่เชื่อมโยงด้วยกลุ่มประเทศเศรษฐกิจใหม่ ซึ่งน่าจะเพิ่มโอกาสที่ดีในด้านการค้าการลงทุนระหว่างประเทศของไทย

ADVERTISMENT

อย่างไรก็ดี ไทยยังมีจุดอ่อนหรือจุดที่ต้องระวังคือ เป็นประเทศที่เข้าสู่สังคมผู้สูงวัย และมีแรงงานที่ใช้ทักษะการทำงานไม่สูงมาก

ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติที่ต้องการขยายการลงทุนไปหลายประเทศย่อมต้องการการลงทุนในประเทศที่มีทำเลที่ตั้งเหมาะสม, มีความสะดวกสบายในการประกอบธุรกิจ (ease of doing business) และบุคลากรที่มีทักษะสูง ซึ่งประเทศไทยจะต้องเตรียมพร้อมในด้านต่าง ๆ เหล่านี้ควบคู่ไปกับการรองรับการเปลี่ยนผ่านทางเทคโนโลยีที่รวดเร็ว ซึ่งการเริ่มเตรียมความพร้อมการลงทุนในวันนี้ อาจยังไม่สามารถเห็นผลได้ทันทีในระยะอันใกล้ แต่จะเป็นการวางรากฐานที่มั่นคงในระยะยาวให้กับประเทศได้ในอนาคต

ADVERTISMENT

“ทั้งหมดเกิดขึ้นกับประเทศไทย ถ้าเราทำสิ่งเหล่านี้ ได้ปรับเปลี่ยนให้ทันกับการเปลี่ยนแปลง ประเทศไทยไม่แพ้ใคร ไทยมีพื้นฐานที่ดี เป็นโอกาส การหยิบฉวยเกิดขึ้นได้ เป็นจริงขึ้นได้ สร้างการเติบโตให้ประเทศ การนำสิ่งนี้มากำหนด Vision ประเทศ เกิดจาก Dream บวก Action มาเป็น Sustainable ที่ดีได้” นายพิชัยกล่าวในตอนท้าย

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าประเทศไทยจะมีจีดีพี 1.9% แต่กลับมีสภาพคล่องในประเทศเหลือเยอะ เพราะเมื่อไม่ลงทุน ลงทุนน้อย เงินสดจะมีมาก คืนหนี้แล้วก็ยังเหลือเงินอยู่ และมีโอกาสมาลงทุนหุ้นต่อ แต่ถ้าไม่รีบทำ ไม่รีบเดินเรื่องการลงทุน จะยิ่งแก้ไขยากขึ้น

ส่วนภาพอสังหาริมทรัพย์ในไทย ในปัจจุบันมีการลงทุนที่ใหญ่มากขึ้น แต่มีปัญหาในเรื่องการขายที่ดินที่จะเป็นเพียงการให้เช่า 30 ปีเท่านั้น และเงื่อนไขการเช่ามักมีปัญหาตลอดเวลา ดังนั้น เมื่อต่างชาติเข้ามาเช่าที่ดินในการดำเนินธุรกิจ จะให้สิทธิการเช่าเพียง 30 ปี เชื่อว่าไม่ตอบโจทย์ ต้องมากกว่า 30 ปี และต้องให้สิทธิเสมือนใกล้เคียงความเป็นเจ้าของ เพื่อให้สามารถทำธุรกิจ รวมถึงการทำธุรกรรมกับสถาบันการเงินได้สะดวกมากขึ้น ดังนั้น ที่ผ่านมาจึงพยายามออกกฎหมายทรัพย์อิงสิทธิ เพื่อเอื้อในเรื่องดังกล่าวด้วย

ทั้งนี้ แนวคิดการให้ต่างชาติเช่าที่ดินได้ 99 ปี ความเป็นเจ้าของที่ดินจะยังเป็นของคนไทย เมื่อครบกำหนดจะกลายเป็นสมบัติของรัฐ ซึ่งถือเป็นการลงทุนอย่างหนึ่งที่ให้ผลตอบแทนมากกว่าแค่การเก็บภาษีที่ดิน

“ทั้งหมดเกิดขึ้นกับประเทศไทย ปัญหา และอะไรคือโอกาส ถ้าเราทำสิ่งเหล่านี้ ได้ปรับเปลี่ยน ประเทศไทยไม่แพ้ใคร ไทยมีพื้นฐานที่ดี เป็นโอกาส การหยิบฉวยเกิดขึ้นได้ เป็นจริงขึ้นได้ สร้างการเจริญเติบโตประเทศ การนำสิ่งนี้มากำหนด Vision ประเทศ เกิดจากความฝัน นำมาปฏิบัติให้เกิดขึ้น และประสบผลสู่ความยั่งยืน” นายพิชัยกล่าว