พิชัย ดันผุดแพลตฟอร์มเทรดคาร์บอนเครดิต เล็งใช้ TDX ของตลาดหลักทรัพย์ฯ

พิชัย ชุุณหววชิร
พิชัย ชุุณหววชิร

พิชัยชี้ทุกภาคส่วนต้องเร่งช่วยกันแก้ปัญหาโลกเดือด ก่อนกระทบการส่งออก-การลงทุน เล็งผุดแพลตฟอร์มเทรดคาร์บอนเครดิต แจงอาจใช้ TDX ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ปัจจุบันไม่ Active

วันที่ 22 สิงหาคม 2567 นายพิชัย ชุุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษ ในงานสัมมนา Prachachat ESG Forum 2024 หัวข้อ “Time for Action #พลิกวิกฤต โลกเดือด” ว่า ปัญหาโลกเดือด ไม่ใช่โลกเดือดอย่างเดียว แต่จะเดือดร้อนด้วย ถ้าเราไม่สามารถแก้ปัญหาให้ลุล่วงได้

“ถึงเวลาที่เราจะต้อง Take Action ก็หวังว่าการจัดสัมมนาครั้งนี้จะเป็นแรงกระเพื่อมที่สำคัญ ให้ทุกคนตระหนักรับรู้ถึงความรุนแรงของปัญหา เพื่อจะได้ช่วยกันขับเคลื่อนประเทศไทยประสบความยั่งยืน”

พิชัย ชุุณหววชิร

ทั้งนี้ ปัญหาโลกร้อนมีสัญญาประชาคมในการร่วมมือกันแก้ปัญหาผ่านเวทีที่เรียกว่า COP26 ซึ่งประเทศไทยก็ต้องทำตามเพื่อความอยู่รอด เราจะต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 30% ในอีก 6 ปีข้างหน้า หรือปี 2030

จากนั้นต้องก้าวสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2050 และไปสู่ Net Zero ในปี 2065

ADVERTISMENT

นายพิชัยกล่าวว่า ช่วงเวลาที่เหลือ 6 ปี จะทำได้หรือไม่นั้น หากทำไม่ได้ประเทศไทยที่เป็นประเทศส่งออกจะได้รับผลกระทบแน่นอน

อย่างไรก็ดี นอกจากการลดคาร์บอนลงให้ได้ตามเป้าหมายแล้ว ถ้าลดไม่ได้ก็ต้องไปซื้อคาร์บอนเครดิตจากประเทศอื่น เพื่อที่จะสามารถส่งออกได้ แต่ต้นทุนก็จะแพงมาก ถ้าการลงทุนก็จะหายหมด เพราะนักลงทุนต่างประเทศก็ไม่อยากมาลงทุน

ADVERTISMENT

“ตอนนี้เราปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์อยู่ 370 ล้านตัน ถ้าต้องลด 30% ก็คือต้องลดให้ได้ 120 ล้านตัน ซึ่งเหลือเวลาแค่ 6 ปี ถ้าจะลดให้ได้ตามเป้า”

นายพิชัยกล่าวว่า ถ้าจะทำให้สำเร็จ 1.ต้องมีคาร์บอนเครดิต หรือเรียกว่า REC จัดเก็บไว้อย่างเพียงพอ 2.ต้องมีนโยบาย และการกำกับที่สร้างความเชื่อมั่นว่าวิธีจัดเก็บคาร์บอนมีความเป็นสากลและเป็นที่ยอมรับของทั่วโลก และ 3.ต้องซื้อขายได้เหมือนเครื่องมือทางการเงินอื่น ๆ

“การซื้อขายคาร์บอนเครดิตต้องมี Digital Platform ซึ่งปัจจุบันมี TDX (ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลไทยของตลาดหลักทรัพย์ฯ) ที่ไม่ Active อยู่”

นายพิชัยกล่าวอีกว่า ตอนนี้มีความท้าทายอยู่ ถ้าประเทศไทยสามารถจัดเก็บคาร์บอนเครดิตได้มากกว่าที่ควรเป็น ประเทศไทยก็จะเป็นผู้ส่งออกคาร์บอนเครดิตได้ด้วยแทนที่จะเป็นแค่ผู้ซื้อ

ทั้งนี้ การผลักดันให้มีแพลตฟอร์มซื้อขายคาร์บอนเครดิตในประเทศไทย คาดว่าจะใช้เวลาไม่นาน เพราะมีรูปแบบอยู่แล้ว จะยากแค่เพียงการสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับผู้ประกอบการเท่านั้น

“สำหรับเรื่องภาษี ยังไม่ได้กำหนดว่า Capital Gain Tax ต้องมีหรือไม่ แต่การซื้อขายในตลาดทุนปกติก็ไม่เก็บอยู่แล้ว แต่ในส่วนของ Carbon Tax ก็ต้องมาดูกัน เพราะหลายประเทศเริ่มเก็บแล้ว”