
“กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์” ประธานบอร์ดตลาดหุ้น เปิดแผนตลาดหลักทรัพย์ฯหนุนธุรกิจไทยยึดหลัก ESG เผยผลศึกษา McKinsey ชี้มูลค่าผลประกอบการทางการเงินเพิ่มสูงขึ้น 60% แนะ 10 เรื่องเตรียมตัวรับภาวะโลกเดือด
วันที่ 22 สิงหาคม 2567 ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวในงานสัมมนา “Prachachat ESG Forum 2024 Time fot Action : พลิกวิกฤตโลกเดือด” ว่า ธุรกิจการลงทุนอย่างยั่งยืนเป็นกระแสหลักที่สำคัญมาก เพราะเรื่อง ESG กลายเป็นกติกาการลงทุนและการค้าโลกไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการตั้งเป้าหมาย การลด การชดเชย และการเปิดเผยข้อมูลเรื่องการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือระบบบัญชีของบริษัทก็จะต้องไม่เพียงแค่รับรู้รายรับรายจ่ายหรือกำไรขาดทุนเท่านั้น แต่ต้องแปลงข้อมูลเป็นโอกาสและความเสี่ยงต่าง ๆ ด้วย
“โดยการศึกษาของ McKinsey พบว่า หากธุรกิจดำเนินตามหลัก ESG อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว ผลประกอบการทางการเงินจะมีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นกว่า 60%” ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ กล่าว
และจากการที่ภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก จะเป็นศูนย์กลางการเติบโตของโลกต่อจากนี้ หรือที่เรียกว่า Asian Century ซึ่งจะเป็นภูมิภาคที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์ โดยธนาคารกลางสิงคโปร์มีข้อมูลว่าภูมิภาคอาเซียนจะต้องมีเม็ดเงินลงทุนกว่า 200,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปี 2030 แต่ว่าการลงทุนในเรื่องนี้ยังห่างไกลมาก และประเทศไทยก็เป็นอีกประเทศหนึ่งที่คิดว่ายังห่างไกลเป้ามาก
และข้อมูลธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) ก็พบว่าการลงทุนในธุรกิจยั่งยืนมีเพียงแค่ 60,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นแค่ 30% ของจำนวนเงินที่คาดการณ์ไว้ ดังนั้นประเทศไทยจึงจะต้องพิสูจน์ สร้างกลไก เพื่อดึงดูดผู้ลงทุนเข้ามาลงทุนให้ได้ จะไม่ใช่แค่เมืองไทยน่าอยู่ แต่เรื่องโครงสร้างพื้นฐานของเรื่อง ESG จะต้องทำให้ได้ ซึ่งก็เป็นนโยบายของรัฐบาล เพราะถ้าประเทศไทยไม่ทำในสิ่งเหล่านี้ ก็จะเป็นการยากที่จะประสบความสำเร็จ ฉะนั้นเรื่องการทำกรอบ ESG ให้ไปสู่การปฏิบัติจริงได้นั้นจะต้องเริ่มตั้งแต่วันนี้
“ขณะเดียวกันภาวะที่ตลาดกำลังมีการเปลี่ยนแปลงสำคัญนี้ ตามแนวทางของ รมว.คลัง ที่อยากให้สร้างผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ ๆ เพื่อเป็นทางเลือกให้กับคู่ค้าและตอบโจทย์ความต้องการและบริบทที่เปลี่ยนไป ที่สำคัญตอบสนองผู้ลงทุนที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทย รวมทั้งผู้ลงทนในตลาดทุนไทยด้วย ซึ่งปัจจุบันตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายใต้ บริษัท ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลไทย จำกัด (TDX) ก็จะเริ่มมีบทบาทในการขับเคลื่อนการซื้อขายคาร์บอนเครดิต”
นอกจากนี้ ช่วงที่ผ่านมาตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้มีบทบาทในการพัฒนาความยั่งยืนมาต่อเนื่อง โดยเริ่มมาตั้งแต่ปี 2544 ในการจัดตั้งศูนย์เผยแพร่หลักการด้านบรรษัทภิบาล (CG Center) ปี 2550 จัดตั้งสถาบันธุรกิจเพื่อสังคม เพื่อเผยแพร่หลักการด้านความรับผิดชอบต่อสังคมของธุรกิจ ปี 2558 พัฒนารายชื่อหุ้นยั่งยืน (Thailand Sustainability Investment : THSI) ซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น SET ESG Raitings
ปี 2565 พัฒนาระบบจัดการข้อมูลด้านความยั่งยืน (SET ESG Data Platform) ปี 2566 ประกาศเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2593
จนกระทั่งปี 2567 ยกระดับการประเมิน SET ESG Rating สู่สากล ร่วมมือกับตลาดหลักทรัพย์ลอนดอน โดย FTSE Russell ที่จะทำการประเมินความยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียนไทย จากข้อมูลที่มีการเปิดเผยสู่สาธารณะ (Public Information) เพื่อจะให้ข้อมูลน่าเชื่อถือ เกิดความโปร่งใส มีมาตรฐานระดับโลก สามารถตรวจสอบได้ ซึ่งจะทำให้บริษัทไทยไปแข่งกับใครในโลกนี้ได้ ทั้งนี้จะบังคับใช้กับทุกบริษัทจดทะเบียนในปี 2569
“การดำเนินการเรื่อง ESG ช่วงที่ผ่านมา พบว่า บริษัทจดทะเบียนไทยมีการเปิดเผยข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มขึ้นถึง 47% และเข้าประเมิน ESG Rating มากถึง 20% และในส่วนแนวทางการจัดตั้งกองทุนวายุภักษ์ ที่จะเน้นลงทุนในบริษัท ESG ก็หวังว่าจะทำให้ตลาดทุนไทยคึกคักขึ้น ดัชนี SET จะได้ไม่ตกต่ำกว่า 1,300 จุด”
สำหรับการเตรียมแผนรองรับ ESG ในภาวะโลกเดือด มีหลายข้อคิดที่จะแนะนำกับบริษัทไทย โดยเฉพาะธุรกิจเอสเอ็มอี ซึ่งเป็นซัพพลายเชนใหญ่ของบริษัทใหญ่ ๆ ในประเทศ ที่หากไม่เข้าใจเรื่องสิ่งแวดล้อม ไม่เข้าเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งแวดล้อม ก็เป็นการยากที่จะทำให้ทุกอย่างครบวงจร ดังนั้นการเตรียมตัวคือ
1.ศึกษาหาความรู้เรื่อง ESG ให้เข้าใจถึงโอกาส ผลกระทบ และความเสี่ยงของธุรกิจตนเอง 2.จัดนโยบายและการดำเนินการเรื่อง ESG ให้สอดคล้องกับคุณค่าและเป้าหมายของธุรกิจครอบครัวที่กำหนดไว้ 3.กำหนดเป้าหมายและเครื่องชี้วัด (KPI) ที่เกี่ยวกับองค์ประกอบด้าน ESG 4.มีการประเมินติดตามผลกระทบในเรื่องสิ่งแวดล้อมและสังคมต่อธุรกิจของตนเองอย่างต่อเนื่อง
5.ส่งเสริมให้การมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย โดยควรขอความเห็นชอบในการประเมินและการมีส่วนร่วมกับกระบวนการตัดสินใจในเรื่อง ESG 6.ลงทุนเพื่อความยั่งยืนโดยการหาโอกาสใหม่ที่จะเชื่อมโยง หรือผนวกวิธีปฏิบัติเพื่อความยั่งยืนด้าน ESG
7.จัดการฝึกอบรม พนักงานลูกจ้าง ในเรื่องของความสำคัญของ ESG 8.การกำหนดให้มีการสืบทอดและถ่ายทอดความรู้ ESG กับทายาทรุ่นต่อไป 9.สร้างความร่วมมือกับผู้ประกอบธุรกิจประเภทเดียวกัน โดยการหาเครือข่าย หุ้นส่วนที่จะร่วมมือกันสร้างวิธีปฏิบัติที่ดี 10.ติดตามความคืบหน้าของเรื่อง ESG กฎหมาย และความเกี่ยวข้องต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล
“เชื่อว่า ESG คือโอกาส ESG ไม่ใช่ทางเลือกหรือกระแส แต่ ESG คือทางรอดของธุรกิจ“ ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ กล่าว