
สถานการณ์ค่าเงินบาทช่วงนี้ถือว่าแข็งค่าค่อนข้างเร็ว ซึ่งอาจจะมีผลกระทบต่อภาคการส่งออกที่เพิ่งจะกลับมาฟื้นตัวได้
ช่วง 1-2 เดือนเงินบาทแข็งค่าเร็ว
โดย นายแพททริก ปูเลีย ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า แนวโน้มค่าเงินบาทในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมาเคลื่อนไหวแข็งค่าค่อนข้างเร็วประมาณ 6% ซึ่งหากดูค่าเงินบาทในเดือน ก.ย. 2567 อยู่ที่ 36.70 บาท/ดอลลาร์ แต่ปัจจุบันเดือน ส.ค. อยู่ที่ระดับ 34.50 บาท/ดอลลาร์ กรอบเคลื่อนไหวอยู่ที่ราว 2 บาท
“สาเหตุหลักที่ทำให้เงินบาทแข็งค่ามาจาก 2-3 ปัจจัย ได้แก่ 1.ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่มีมุมมองการปรับลดดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นจาก 2 ครั้ง เป็น 5 ครั้ง หนุนเงินดอลลาร์อ่อนค่า บาทแข็งค่าขึ้น 2.ราคาทองคำ ซึ่งมีความสัมพันธ์กับค่าเงิน โดยช่วงที่ผ่านมาราคาทองคำปรับขึ้นไปสูงถึง 2,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และ 3.ในประเทศสัญญาณการเมืองชัดเจนขึ้นและค่อนข้าง Stable ขณะที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.5%”
ทั้งนี้ หากมองไปในระยะข้างหน้าภายใน 1 เดือน หากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ เช่น ตัวเลขการจ้างงานออกมาแย่ และเงินเฟ้อไม่ได้สูงมาก จะเห็นเงินบาทเคลื่อนไหวในทิศทางแข็งค่า แต่เป็นการแข็งค่าที่สอดคล้องกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น จีน มาเลเซีย และสิงคโปร์ เป็นต้น ซึ่งไม่ได้แข็งค่าหรืออ่อนค่าเร็วเกินไปกว่าประเทศเพื่อนบ้าน
เชื่อบาทแข็งไม่หลุด 34 บาท
นายแพททริกกล่าวว่า ธนาคารให้กรอบค่าเงินบาท ระยะสั้นอยู่ที่ 33.80-34.00 บาท/ดอลลาร์ เนื่องจากราคาทองอาจจะไม่ได้ปรับเพิ่มขึ้นเร็ว และการเลือกตั้งสหรัฐ ที่คาดว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ จะกลับมาเป็นประธานาธิบดี ซึ่งจะมีเรื่องของสงครามการค้า (Trade War) จะทำให้เงินดอลลาร์แข็งค่า เมื่อเทียบกับค่าเงินหยวน อย่างไรก็ดี ธนาคารยังคงกรอบคาดการณ์เงินบาทในสิ้นปี 2567 อยู่ที่ระดับ 34.50-35.00 บาท/ดอลลาร์
“หากเงินบาทจะหลุด 34.00 บาท/ดอลลาร์ จะมาจาก 2 ปัจจัย คือ สหรัฐ เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยอย่างเร็ว และกระแสเงินทุนเคลื่อนย้าย หรือฟันด์โฟลว์ที่ไหลออกไปแล้วในช่วง 2 ปีกว่า 2 แสนล้านบาท ซึ่งต้องติดตามว่าจะเป็นอย่างไร แม้ว่าในช่วงเดือน ก.ค.-ส.ค. 2567 เงินทุนไหลเข้ามาในตลาดพันธบัตรบ้าง แต่ไม่ได้ถล่มทลาย ทั้งนี้ หากเทียบความผันผวนในสถานการณ์ต่าง ๆ เช่น ช่วงเศรษฐกิจผันผวนบาทจะอ่อน 20 สตางค์ ช่วง Black Monday บาทแข็งขึ้น 35 สตางค์ และฟันด์โฟลว์สร้างความผันผวน 50 สตางค์”
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงิน ตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า เชื่อว่าค่าเงินบาทคงไม่หลุด 34.00 บาท/ดอลลาร์ เนื่องจากมีปัจจัยสนับสนุนค่าเงิน ทั้งเรื่องของการเมืองที่ราบรื่น และสงครามในตะวันออกกลางที่ยังไม่ได้มีการปะทะรุนแรง ทำให้ราคาทองคำย่อตัวลงได้ ดังนั้น ทิศทางค่าเงินในระยะสั้น 1 เดือน มองว่ามีความผันผวนอ่อนค่า ได้บ้างในกรอบ 34.00-35.30 บาท/ดอลลาร์ และ 3 เดือนอยู่ที่ 34.00-36.00 บาท/ดอลลาร์ เนื่องจากมีความเสี่ยงจากประเด็นการเลือกตั้งของสหรัฐ
จับตาดอกเบี้ย ธปท.-ผลต่อค่าเงิน
นายพูนกล่าวว่า ความเสี่ยงที่อาจจะต้องจับตา คือ คุณภาพสินเชื่อของระบบ หลังจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ให้ความเป็นห่วงและระมัดระวังมากขึ้น เพราะหากหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ปรับเพิ่มขึ้นอาจจะกระทบต่อต้นทุนการเงินการกู้ยืมในตลาดพันธบัตร
ซึ่งมีผลกระทบต่อการผิดนัดชำระหนี้ได้ อาจจะกระทบการลงทุน และการบริโภคจนกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจ ทำให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีโอกาสที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายได้ ทำให้มีผลต่อทิศทางค่าเงินได้เช่นกัน
“ปลายเดือน ต.ค. และ พ.ย. เราจะเห็นค่าเงินบาทอ่อนค่าจากประเด็นการเลือกตั้งในสหรัฐ ซึ่งเราให้กรอบแนวต้านไว้ที่ระดับ 34.40-34.50 บาทต่อดอลลาร์ และหลังจากเลือกตั้งจะเห็นค่าเงินเคลื่อนไหวอ่อนค่าอีกราว 3% ซึ่งคิดว่าเงินบาทคงไม่ได้กลับไปแข็งค่าเร็วเหมือนช่วงก่อนหน้านี้”
“กสิกรไทย” ปรับสิ้นปีบาทแข็งขึ้น
นายกอบสิทธิ์ ศิลปชัย ผู้บริหารงานวิจัยเศรษฐกิจและตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ห้องค้ากสิกรไทย ปรับคาดการณ์ค่าเงินบาทอยู่ที่ 34.50 บาท/ดอลลาร์ ณ สิ้นปีนี้ จากเดิมคาดที่ 36.00 บาท/ดอลลาร์ จากปัจจัยหนุนภายนอกประเทศเป็นสำคัญ ได้แก่ การลดดอกเบี้ยของเฟด และราคาทองที่ปรับตัวขึ้น โดยค่าเงินบาทที่ทยอยแข็งค่าขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี เป็นตามที่คาดการณ์ไว้
“อย่างไรก็ตาม เรามองว่า ค่าเงินบาท ในช่วงที่ผ่านมา แข็งค่าเร็วเกินไป จากภาวะของตลาดในปัจจุบันที่ผันผวนมากกว่าปกติ ประกอบกับภาพเศรษฐกิจไทยยังไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก เราจึงประเมินว่าในช่วงปลายปีมีโอกาสที่ค่าเงินบาทจะปรับฐานให้กลับมาอ่อนค่าบางส่วน”
ทั้งนี้ ช่วงที่ผ่านมา เงินบาทแข็งค่าใกล้แตะ 34.00 บาท/ดอลลาร์ แข็งค่ามากที่สุดในรอบ 13 เดือน
ธปท.มองบาทไม่ได้แข็งผิดปกติ
นายปิติ ดิษยทัต ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า เงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมานั้น มองว่าการเคลื่อนไหวยังคงสอดคล้องกับภูมิภาคและตลาดโลก โดยตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน ค่าเงินบาทไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงมาก
อย่างไรก็ดี ยอมรับว่าผู้ประกอบการส่งออกและนำเข้าที่ไม่ได้มีการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (Hedging) อาจจะมีผลต่อรายได้ รายรับที่เปลี่ยนแปลงได้ แต่ไม่ได้มีผลต่อปริมาณหรือความต้องการของการส่งออกและนำเข้า เนื่องจากผู้ประกอบการจะมีการตั้งราคาเป็นสกุลเงินดอลลาร์
“ปัจจุบันการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทยังเคลื่อนไหวสอดคล้องกับประเทศเพื่อนบ้าน และการเคลื่อนไหวยังเป็นไปในลักษณะแบบมีเหตุและมีผล”