ประธานตลาดหุ้น ปลุกธุรกิจไทย ชู ESG เมกะเทรนด์เปลี่ยนอนาคต

กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์
กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์

ท่ามกลางภาวะตลาดทุนไทยเผชิญกับความท้าทายเรื่องของการกำกับดูแลกิจการ และธรรมาภิบาลของผู้บริหารบริษัทจดทะเบียน ที่ทำให้เกิดผลกระทบต่อความเชื่อมั่นตลาดทุน ตลาดหลักทรัพย์ฯจึงให้ความสำคัญกับเรื่อง ESG และการลงทุนอย่างยั่งยืน รวมถึงการยกระดับมาตรฐาน ESG ของบริษัทจดทะเบียนไทย

ESG เมกะเทรนด์เปลี่ยนอนาคต

ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) บรรยายพิเศษในหัวข้อ “ESG เมกะเทรนด์เปลี่ยนอนาคต” ในงานสัมมนา Prachachat ESG Forum 2024 ว่า อาจมีคำถามว่าการทำเรื่อง ESG เป็น “ต้นทุน” ทำให้กำไรของบริษัทลดลงหรือเปล่า

โดยจากข้อมูลจะเห็นเรื่องใหญ่ ๆ 3 เรื่องที่เกิดขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นเมกะเทรนด์โลก ก็คือเรื่องของเทคโนโลยี หรือเอไอ ที่จะนำมาใช้ในการดูแล กำกับ และติดตาม ในเรื่องของสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใบรับรองการผลิตพลังงานหมุนเวียน (REC) หรือว่าการเก็บข้อมูลการใช้คาร์บอนต่าง ๆ

ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องสิ่งแวดล้อมหรือสภาวะอากาศในเวลานี้เป็นเรื่องใหญ่มาก ประเทศไทยก็ได้ไปลงนามข้อตกลงและจะมีกฎหมายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่กำลังเตรียมเข้าสภาภายในไม่ช้านี้ ซึ่งกฎหมายเหล่านี้ก็ทำให้สิ่งแวดล้อมของไทยจะต้องมีการปรับปรุง

ปั้น TDX เทรดคาร์บอนเครดิต

ถัดมาเรื่องของการจัดการทรัพยากรเป็นเรื่องที่จะต้องทำ และในฐานะที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายใต้ บริษัท ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลไทย จำกัด (TDX) ก็จะมีบทบาทในการขับเคลื่อนเรื่องการซื้อขายหรือการเทรด “คาร์บอนเครดิต” ตามนโยบายของรัฐมนตรีคลัง

รวมไปถึงการสร้างองค์ความรู้ในเรื่องสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องสำคัญมาก ต้องทำให้ครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ เพราะเอสเอ็มอีเป็นซัพพลายเชนใหญ่ของบริษัทใหญ่ ถ้าเอสเอ็มอีไม่เข้าใจเรื่องสิ่งแวดล้อม ไม่เข้าเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งแวดล้อม ก็เป็นการยากที่จะทำให้ทุกอย่างครบวงจร

ADVERTISMENT

นอกจากนี้ ต้องจัดการปัญหาเรื่องของสังคมที่มีความเหลื่อมล้ำที่เกิดมากขึ้น ทั้งการศึกษา, ความยากจน, หนี้ครัวเรือน ซึ่งมีความสัมพันธ์อย่างยิ่งกับสังคมไทย

และต่อมา เรื่องของเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นสงครามทางการค้าระหว่างประเทศมหาอำนาจต่าง ๆ ซึ่งจากข้อพิพาทเหล่านี้ประเทศไทยน่าจะได้รับประโยชน์ แต่ถ้าเราไม่มีองค์ประกอบในเรื่องของพลังงานสะอาด (Clean Energy) เรื่องบุคลากร หรืออีกหลาย ๆ เรื่อง ก็เป็นการยากที่ใครจะมาลงทุนในประเทศไทย

ADVERTISMENT

“เพราะกติกาโลกวันนี้ที่เราเห็น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอุณหภูมิ เรื่องของการลงทุนสีเขียว การควบคุมโรคระบาด หรือมาตรการ CBAM ซึ่งถ้าเราไม่มีระบบ ESG ที่ดี เราจะส่งออกไม่ได้ หรือถ้าส่งออกได้ก็จะโดนภาษีในอัตราที่สูง ดังนั้นเป็นสิ่งที่ประเทศไทยจะต้องดูแล”

ESG กติกา “การลงทุน-การค้าโลก”

ประธานตลาดหุ้นกล่าวต่อว่า ธุรกิจการลงทุนอย่างยั่งยืนเป็นกระแสหลักที่สำคัญมาก เราจะต้องมีความรู้ เพราะ ESG กลายเป็นกติกาการลงทุนและการค้าโลกไปแล้ว ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นการตั้งเป้าหมาย การลด การชดเชย และการเปิดเผยข้อมูลเรื่องการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือระบบบัญชี ที่ของบริษัทจะต้องไม่เพียงแค่รับรู้รายรับรายจ่าย หรือกำไรขาดทุนเท่านั้น แต่ต้องแปลงข้อมูลเป็นโอกาสและความเสี่ยงเกี่ยวกับเรื่อง ESG ด้วย

“โดยการศึกษาของ McKinsey พบว่า หากธุรกิจดำเนินตามหลัก ESG อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว ผลประกอบการทางการเงินจะมีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นกว่า 60%” ศาสตราจารย์พิเศษกิติพงศ์กล่าว

และถ้าเรามองเห็นว่า ภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกจะเป็นศูนย์กลางการเติบโตของโลกนับจากนี้ไป หรือที่เรียกว่า Asian Century ดังนั้น ภูมิภาคนี้จะได้รับประโยชน์ ซึ่งทางธนาคารกลางสิงคโปร์เพิ่งมีข้อมูลว่า ภูมิภาคอาเซียนจะต้องมีเงินลงทุนกว่า 200,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปี 2030 แต่ว่าการลงทุนในเรื่องนี้ยังห่างไกลมาก และประเทศไทยก็เป็นประเทศหนึ่งที่คิดว่ายังห่างไกลเป้ามาก

และจากข้อมูลธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) ก็พบว่าการลงทุนในธุรกิจยั่งยืน มีเพียงแค่ 60,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นสัดส่วนแค่ 30% ของจำนวนเงินที่คาดการณ์ไว้ ดังนั้น ประเทศไทยจึงจะต้องพิสูจน์ สร้างกลไก เพื่อให้สามารถดึงดูดผู้ลงทุนเข้ามาลงทุนให้ได้ ไม่ใช่แค่เมืองไทยน่าอยู่ ของถูก แต่ว่าเรื่องอินฟราสตรักเจอร์ของ ESG ก็จะต้องทำให้ได้ ซึ่งก็เป็นนโยบายของรัฐบาล

เพราะถ้าเราไม่ทำในสิ่งเหล่านี้ ก็เป็นการยากที่เราจะประสบความสำเร็จได้ ฉะนั้น เรื่องการทำกรอบ ESG ให้ไปสู่การปฏิบัติจริงได้นั้น จะต้องเริ่มตั้งแต่วันนี้

เร่งยกระดับ ESG Rating

ประธาน ตลท.กล่าวว่า สำหรับบทบาทของตลาดหลักทรัพย์ฯในการพัฒนาความยั่งยืน เราทำมาอย่างต่อเนื่อง โดยเริ่มมาตั้งแต่ปี 2544 ในการจัดตั้งศูนย์เผยแพร่หลักการด้านบรรษัทภิบาล (CG Center) ปี 2550 จัดตั้งสถาบันธุรกิจเพื่อสังคม เพื่อเผยแพร่หลักการด้านความรับผิดชอบต่อสังคมของธุรกิจ และปี 2558 พัฒนารายชื่อหุ้นยั่งยืน (Thailand Sustainability Investment : THSI) ซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น SET ESG Ratings และใช้เวลากว่า 20 ปี

จนกระทั่งในปี 2565 ได้พัฒนาระบบจัดการข้อมูลด้านความยั่งยืน (SET ESG Data Platform) ออกมา พร้อมสนับสนุนการลงทุนอย่างยั่งยืนเพื่อสร้างอีโคซิสเต็ม และปี 2566 ประกาศเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2593

และล่าสุดในปี 2567 ได้ยกระดับการประเมิน SET ESG Rating สู่มาตรฐานสากล โดยร่วมมือกับ FTSE Russell (ธุรกิจในกลุ่มตลาดหลักทรัพย์ลอนดอน) เพื่อทำระบบการประเมินความยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียนไทย จากข้อมูลที่มีการเปิดเผยสู่สาธารณะ (Public Information) โดยจะบังคับกับบริษัทจดทะเบียนไทยในกลุ่ม SET100 และบริษัทใดที่อยากเข้าร่วมโครงการเต็มรูปแบบในปี 2569 เพื่อจะให้ข้อมูลน่าเชื่อถือ เกิดความโปร่งใส มีมาตรฐานระดับโลก และสามารถตรวจสอบได้ ซึ่งจะทำให้บริษัทไทยไปแข่งกับใครในโลกนี้ได้

“ภาวะที่ตลาดกำลังมีการเปลี่ยนแปลงสำคัญ ซึ่งตามแนวทางของ รมว.คลัง ที่จะต้องสร้างผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ ๆ เพื่อเป็นทางเลือกให้กับคู่ค้าใหม่ ๆ ตอบโจทย์ความต้องการและบริบทที่เปลี่ยนไป ที่สำคัญ ตอบสนองผู้ลงทุนที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทย รวมทั้งผู้ลงทนในตลาดทุนไทยด้วย”

ศาสตราจารย์พิเศษกิติพงศ์กล่าวว่า ที่ผ่านมาตลาดหลักทรัพย์ฯได้มีบทบาทตั้งแต่เริ่มการเชื่อม ESG Data Platform พร้อมสนับสนุนการลงทุนอย่างยั่งยืนเพื่อสร้างอีโคซิสเต็ม โดยเริ่มจากการสมัครใจก่อนที่ใช้ข้อมูลต่าง ๆ ที่เราทำมา และที่สำคัญมาก เราเป็นที่เชื่อมโยงระหว่างประชาชนที่ออมเงิน ที่จะมาลงทุนในธุรกิจที่เป็น ESG ดังนั้น ตลาดหลักทรัพย์ฯจะเป็นกลไกหนึ่งที่จะพยายามสร้างความเจริญเติบโตการลงทุนสีเขียว โดยการดูแลสิ่งแวดล้อมของบริษัทจดทะเบียน

พัฒนาระบบ SET Carbon

และล่าสุดที่ตลาดหลักทรัพย์ฯกำลังทำ คือ การพัฒนาระบบ SET Carbon ในการบริหารจัดการข้อมูลด้านก๊าซเรือนกระจกโดยเฉพาะ เพื่อให้ข้อมูลการปล่อยคาร์บอนของบริษัทจดทะเบียนไทย ให้พร้อมใช้งาน สามารถเปรียบเทียบ และน่าเชื่อถือ สำหรับนักลงทุนรายย่อย นักลงทุนสถาบัน และนักลงทุนต่างประเทศ เพื่อจะดูข้อมูล ESG ของประเทศไทยได้

ส่วนกรณีที่รัฐบาลอนุมัติกองทุนทางภาษีใหม่ อย่าง Thai ESG Fund ส่วนตัวก็ผิดหวังเล็กน้อยในแง่ของจำนวนเงินที่ตั้งเป้าจะระดมทุน 10,000 ล้านบาท แต่มีเม็ดเงินเข้ามาแค่ 6,400 ล้านบาท แต่ก็ดีในแง่ของจำนวนคนที่เข้ามาลงทุนเพิ่มขึ้น ก็คิดว่าคนอาจไม่รู้เรื่อง ESG และยังไม่มั่นใจว่า กองทุนนี้จะดีจริงหรือไม่ หรือมองแค่เรื่องภาษี

ซึ่งความจริงก็พบว่า เรื่อง ESG ของบริษัทจดทะเบียนไทยมีการเปิดเผยข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มขึ้นถึง 47% และเข้าประเมิน ESG Rating มากถึง 20% ดังนั้น ตลาดหลักทรัพย์ฯต้องกระตุ้นให้ประชาชนคนไทยมีความรู้เรื่องเหล่านี้ต่อไปด้วย และอีกแนวทางการจัดตั้งกองทุนวายุภักษ์ ที่จะเน้นลงทุนในบริษัท ESG ด้วย ก็หวังว่าจะทำให้ตลาดทุนไทยตื่นเต้นและคึกคักขึ้น ดัชนี SET Index จะได้ไม่ตกต่ำกว่า 1,300 จุด

10 ทางรอด ธุรกิจไทยสู่ความยั่งยืน

ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯกล่าวอีกว่า สุดท้ายในภาวะโลกเดือด ก็มีข้อคิดที่อยากจะฝากกับบริษัทไทย 10 ข้อ ทั้งนี้ สำหรับบริษัทใหญ่ไม่ค่อยเป็นห่วง แต่ที่เป็นห่วงคือบริษัทเอสเอ็มอี คือ 1.ศึกษาหาความรู้เรื่อง ESG ให้เข้าใจถึงโอกาส ผลกระทบ และความเสี่ยงของธุรกิจตนเอง ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯก็มี SET ESG Academy ในการฝึกอบรมเรื่องพวกนี้อยู่

2.จัดทำนโยบายและการดำเนินการเรื่อง ESG ให้สอดคล้องกับคุณค่าและเป้าหมายของธุรกิจครอบครัวที่กำหนดไว้ 3.กำหนดเป้าหมายและเครื่องชี้วัด (KPI) ที่เกี่ยวกับองค์ประกอบด้าน ESG 4.การประเมินติดตามผลกระทบในเรื่องสิ่งแวดล้อมและสังคมต่อธุรกิจของตนเองอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจนำเอไอมาใช้วัดผลก็ได้

5.ส่งเสริมให้การมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย โดยควรขอความเห็นชอบในการประเมินและการมีส่วนร่วมกับกระบวนการตัดสินใจในเรื่อง ESG ไม่ว่าจะเป็นคนในชุมชนใกล้เคียง หรือพนักงานลูกจ้างต่าง ๆ

ESG คือการลงทุน ไม่ใช่ “ค่าใช้จ่าย”

6.ต้องลงทุนเพื่อความยั่งยืน โดยการหาโอกาสใหม่ที่จะเชื่อมโยง หรือผนวกวิธีปฏิบัติเพื่อความยั่งยืนด้าน ESG ซึ่งเรื่องนี้สำคัญมาก และอย่าคิดว่า ESG เป็นแค่ค่าใช้จ่ายที่ไม่ได้ผลตอบแทน 7.จัดการฝึกอบรมพนักงานลูกจ้าง ในเรื่องของความสำคัญของ ESG 8.การกำหนดให้มีการสืบทอดและถ่ายทอดความรู้ ESG กับทายาทรุ่นต่อไป

9.สร้างความร่วมมือกับผู้ประกอบธุรกิจประเภทเดียวกัน โดยการหาเครือข่าย หุ้นส่วนที่จะร่วมมือกันสร้างวิธีปฏิบัติที่ดี ซึ่งตอนนี้กำลังร่วมมือกับบริษัทจดทะเบียน 2-3 ราย ให้ทำธุรกิจด้วยกันในเรื่องสิ่งแวดล้อม และสังคม โดยในฐานะที่สวมหมวกเป็น ประธานกรรมการธนาคารไทยเครดิต ที่มุ่งเน้นปล่อยสินเชื่อรายย่อย ก็พยายามจะลดความเหลื่อมล้ำให้คนจนเข้าถึงการเงิน และมีความรู้เรื่องการเงินที่ดี (Financial Literacy)

และ 10.ติดตามความคืบหน้าของเรื่อง ESG กฎหมาย และความเกี่ยวข้องต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล

“เรื่อง ESG เป็นเรื่องที่เปลี่ยนแปลงเร็ว การมีความรู้เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ มิเช่นนั้นแล้ว เมื่อโลกเดือด เราไม่พร้อม เราก็จะประสบแต่ความผิดหวัง เพราะฉะนั้น เชื่อว่า ESG คือ โอกาส ไม่ใช่ทางเลือก หรือกระแส แต่ ESG คือ ทางรอดของธุรกิจ”