
บาทแข็งค่ารับคาดการณ์เฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยเดือนกันยายน ขณะที่รอจับตาพาวเวลล์แถลงมุมมองเศรษฐกิจสหรัฐคืนวันศุกร์นี้
วันที่ 23 สิงหาคม 2567 ฝ่ายค้าเงินตราต่างประเทศธนาคารกรุงเทพรายงานว่า ภาวะการเคลื่อนไหวของตลาดปริวรรตเงินตราประจำวันที่ 19-23 สิงหาคม 2567 ค่าเงินบาทเปิดตลาดวันจันทร์ (19/8) ที่ระดับ 34.51/52 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าจากระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (16/8) ที่ระดับ 35.02/03 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
โดยในช่วงต้นสัปดาห์ค่าเงินดอลลาร์เคลื่อนไหวในทิศทางอ่อนค่าต่อเนื่อง ท่ามกลางการคาดการณ์เรื่องการลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ และการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจที่อ่อนแอของสหรับ โดยในวันศุกร์ (16/9) กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยตัวเลขการเริ่มต้นสร้างบ้านปรับลง 6.8% สู่ระดับ 1.24 ล้านยูนิตในเดือน ก.ค. สวนทางกับนักวิเคราะห์ที่คาดว่าเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 1.34 ล้านยูนิต จากระดับ 1.33 ล้านยูนิตในเดือนก่อนหน้า
โดยตัวเลขการเริ่มต้นสร้างบ้านได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นของราคาบ้านและอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนอง ส่วนการอนุญาตก่อสร้างบ้านลดลง 4% สู่ระดับ 1.39 ล้านยูนิตในเดือน ก.คง และต่ำกว่าที่คาดการณ์ที่ระดับ 1.43 ล้านยูนิต จากระดับ 1.45 ล้านยูนิตในเดือน มิ.ย. ในขณะที่ผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 67.8 ในเดือน ส.คง สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 66.9 จาระดับ 66.4 ในเดือน ก.ค.
นอกจากนี้ นายนีล แคชคารี ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขามินนิอาโปลิสกล่าวกับวอลล์สตรีท เจอร์นัล ว่า ปัจจุบันสมดุลความเสี่ยงเปลี่ยนไปแล้วเนื่องจากตลาดแรงงานสหรัฐ กำลังชะลอตัว ดังนั้นการหารือเรื่องการลดดอกเบี้ยในเดือนหน้าเป็นเรื่องเหมาะสม แต่เขายังคงไม่เห็นด้วยในการลดอัตราดอเบี้ยมากกว่า 0.25% เนื่องจากอัตราการเลิกจ้างยังคงต่ำอยู่ และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานไม่ได้บ่งชี้ถึงการถถอยลงอย่างชัดเจน
อย่างไรก็ดี ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐกลับมาฟื้นตัวหลังจากที่อ่อนค่าลงติดต่อกันหลายวัน ท่ามกลางความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐ อย่างไรก็ดีสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) เปิดเผยว่า ยอดขายบ้านมือสองเพิ่มขึ้น 1.3% สู่ระดับ 3.95 ล้านยูนิตในเดือน ก.ค. เมื่อเทียบรายเดือน สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 3.94 ล้านยูนิต ทางด้านกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรก เพิ่มขึ้น 4,000 ราย สู่ระดับ 232,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 230,000 ราย
ขณะที่เอสแอนด์พี โกลบอลเปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิตและภาคบริการเบื้องต้นของสหรัฐ ปรับตัวลงสู่ระดับ 54.1 ในเดือน ส.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 4 เดือน จากระดับ 54.3 ในเดือน ก.ค. อย่างไรก็ดี ดัชนี PMI ยังคงอยู่เหนือระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้การขยายตัวของภาคธุรกิจสหรัฐ โดยได้รับแรงหนุนจากการขยายตัวของภาคบริการ ขณะที่ภาคการผลิตอยู่ในภาวะหดตัว นอกจากนี้นักลงทุนให้ความสนใจการกล่าวสุนทรพจน์ของนายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟด ในการประชุมที่เมืองแจ็กสัน โฮล รัฐไวโอมิง ในวันศุกร์นี้ (23/8)
โดยนายพาวเวลล์จะแสดงวิสัยทัศน์เกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจของสหรัฐ และแนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ ทั้งนี้ล่าสุดนักลงทุนคาดการณ์ว่า มีโอกาส 26.5% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.50% สู่ 4.75-5.00% ในการประชุมกำหนดนโยบายในวันที่ 17-18 ก.ย. โดยโอกาสดังกล่าวปรับลดลงจากระดับ 38% ที่เคยคาดไว้ในวันพุธ (21/8) และนักลงทุนคาดว่ามีโอกาส 73.5% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% สู่ 5.00-5.25% ในการประชุมกำหนดนโยบายในวันที่ 17-18 ก.ย. อีกทั้งคาดการณ์อีกด้วยว่า เฟดอาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงรวมกันราว 0.98% ในปีนี้
ทั้งนี้ ค่าเงินบาทปรับตัวในแนวแข็งค่าต่อเนื่องและเคลื่อนไหวใกล้ระดับแข็งค่าสุดในรอบเกือบ 1 ปี ในช่วงต้นสัปดาห์ โดยได้รับแรงหนุนจากการขายทำกำไรของผู้ค้าทองคำในประเทศ หลังราคาทองคำปรับตัวขึ้นทำระดับสูงสุดครั้งใหม่ที่ 2,521.36 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์
รวมถึงค่าเงินบาทยังได้รับแรงหนุนอย่างต่อเนื่องจากการคลายความกังวลเกี่ยวกับภาวะสุญญากาศทางการเมืองไทย หลังนางสาวแพทองธาร ชินวัตร จากพรรคเพื่อไทย ได้รับสนองพระบรมราชโองกรโปรดเกล้าฯเป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 31 พร้อมทั้งประกาศสานต่อนโยบายเศรษฐกิจและผลักดันซอฟต์พาวเวอร์ให้สำเร็จลุล่วง พร้อมทั้งขอให้ทุกคนติดตามการแถลงนโยบายอย่างเป็นรูปธรรมในเดือนกันยายนนี้ ท่ามกลางกระแสข่าวว่ารัฐบาลชุดใหม่อาจจะยกเลิกโครงการดิจิทัลวอลเล็ตมูลค่า 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์
ส่วนในวันจันทร์ (19/8) นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) แถลงตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศไตรมาส 2/2567 และแนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2567 ว่าเศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ 2.3% ต่อเนื่องจากไตรมาสที่ 1 ที่ผ่านมา และเมื่อปรับฤดูกาลแล้วเศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ 0.8%
โดยเศรษฐกิจไทยได้รับอานิสงส์จากการบริโภคเอกชนที่ขยายตัว 4%, การบริโภคภาครัฐบาลขยายตัว 0.3% และการส่งออกขยายตัว 1.9% แต่การลงทุนรวมยังคงหดตัวอยู่ 6.2% นับเป็นการลดลงต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่สาม จากการลดลงในหมวดยานยนต์, การก่อสร้างที่อยู่อาศัย และการลงทุนภาครัฐเป็นสำคัญ
ทั้งนี้ สศช.คาดว่า เศรษฐกิจไทยในปีนี้จะขยายตัวได้ 2.3-2.8% (ค่ากลาง 2.5%) แต่สภาพัฒน์ฯยังคงมองว่าเศรษฐกิจไทยเผชิญความท้าทายสำคัญในเรื่องของเศรษฐกิจ เนื่องจากการลงทุนของภาคเอกชนยังต่ำ และไม่ได้อยู่ในระดับที่น่าพอใจ และการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศมีขนาดที่ลดลง ซึ่งต้องสร้างแรงจูงใจในการลงทุนมากขึ้นโดยเฉพาะในภาคส่วนของแรงงาน ที่จะต้องตอบโจทย์อุตสาหกรรมใหม่ๆ และอุตสาหกรรมเป้าหายมากขึ้น
อย่างไรก็ดีในช่วงบ่ายวันพุธ (21/8) ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติไม่เป็นเอกฉันท์ 6 ต่อ 1 เสียง ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 2.50% ต่อปี ซึ่งเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ โดย 1 เสียง เห็นควรให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปี
โดยนายปิติ ดิษยทัต (เลขานุการ กนง.) ระบุว่า “โดยกรรมการส่วนใหญ่เล็งเห็นว่าอัตราดอกเบี้ยปัจจุบันยังอยู่ในระดับที่สอดคล้องกับการขยายตัวของเศรษฐกิจที่โน้มเข้าสู่ศักยภาพ และการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจและการเงิน จึงเห็นควรให้คงอัตราดอกบี้ยนโยบายในการประชุมครั้งนี้
อย่างไรก็ดี ต้องติดตามผลกระทบของคุณภาพสินเชื่อที่ด้อยลงต่อภาวะการเงิน และเศรษฐกิจโดยรวม” ขณะที่กรรมการ 1 ท่าน เห็นว่าควรปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.258% ต่อปี เพื่อให้สอดคล้องกับศักยภาพางเศรษฐกิจที่ขยายตัวต่ำลงจากปัจจัยเชิงโครงสร้างที่ชัดเจนขึ้น และจะมีส่วนช่วยบรรเทาภาระของลูกหนี้ได้บ้าง
ทั้งนี้ในระหว่างวันค่าเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบระหว่าง 34.06-34.32 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ และปิดตลาดที่ระดับ 34.27/29 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 34.01-34.61 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ และปิดตลาดในวันศุกร์ (23/8) ที่ระดับ 347.23/25 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
สำหรับความเคลื่อนไหวของค่าเงินยูโร เปิดตลาดวันจันทร์ (19/8) ที่ระดับ 1.1030/32 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร แข็งค่าจากระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (16/8) ที่ระดับ 1.0989/91 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร อย่างไรก็ดี สำนักงานสถิติแห่งชาติเยอรมนี (Destatis) รายงานในวันจันทร์ (19/8) ว่า เยอรมนีมียอดส่งออกสินค้ารวม 8.899 แสนล้นดอลลาร์สหรัฐในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ นับเป็นการปรับตัวลดลง 1.6% เมื่อเทียบกับช่วง 6 เดือนแรกของปี 2567
ขณะที่ยอดนำเข้าลดลง 6.2% ในช่วงเวลาดังกล่าว สะท้อนให้เห็นถึงความซบเซาของการค้าต่างประเทศของประเทศเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในยุโรปอย่างเยอรมนี อย่างไรก็ดี ยูโรได้รับแรงหนุนจากการปรับตัวอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงต้นสัปดาห์ นอกจากนี้ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิต-ภาคบริการขั้นต้นของยูโรโซนจากฮัมบูรณ์ คอมเมอร์เชียล แบงก์ (HCOB) ซึ่งรวบรวมโดยเอสแอนด์พี โกลบอล อยู่ที่ระดับ 51.2 ในเดือน ส.ค. เพิ่มขึ้นจากระดับ 50.2 ในเดือน ก.ค.
ตัวเลขดังกล่าวออกมาดีเกินคาดจนสร้างความประหลาดใจให้กับนักวิเคราะห์ในโพลของสำนักข่าวรอยเตอร์ที่คาดการณ์ว่าจะลดลงสู่ระดับ 50.1 โดยแม้แต่การคาดการณ์ที่มองในแง่ดีที่สุดในโพลก็ยังอยู่แค่ 50.8 ทั้งนี้ค่าเงินยูโรเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 1.1021-1.1173 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร และปิดตลาดในวันศุกร์ (23/8) ที่ระดับ 1.1121/22 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร
สำหรับการเคลื่อนไหวของค่าเงินเยน เปิดตลาดวันจันทร์ (19/8) ที่ระดับ 147.62/64 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าขึ้นจากระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (16/8) ที่ระดับ 148.67/69 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ โดยในวันจันทร์ (19/8) สำนักงานคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นเปิดเผยข้อมูลยอดสั่งซื้อเครื่องจักพื้นฐานของญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น 2.1% ในเดือน มิ.ย.เมื่อเทียบเป็นรายเดือน สูงกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์ในโพลของสำนักข่าวรอยเตอร์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 1.1%
อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบเป็นรายปี ยอดสั่งซื้อเครื่องจักรพื้นฐานปรับลดลง 1.7% ในเดือน มิ.ย. สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 1.8% ขณะที่ในวันพุธ (21/8) กระทรวงการคลังญี่ปุ่น เปิดเผยรายงานเบื้องต้นว่า ญี่ปุ่นขาดดุลการค้า 6.218 แสนล้านเยน หรือประมาณ 4.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยสำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า สาเหตุหลักมาจากค่าเงินเยนที่อ่อนตัวลง ทำให้มูลค่าการนำเข้าพุ่งสูงขึ้น แม้การส่งออกจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งก็ตาม
โดยค่าเงินเยนในเดือน ก.ค. อ่อนค่าลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วถึง 12.3% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ รายงานระบุว่า การส่งออกที่เพิ่มขึ้น 10.3% เมื่อเทียบเป็นรายปี คิดเป็นมูลค่า 9.62 ล้านล้านเยน ซึ่งถือเป็นสถิติใหม่สำหรับเดือน ก.ค. สินค้าส่งออกหลัก ได้แก่ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ รถยนต์ และเครื่องจักรผลิตชิป ขณะเดียวกันการนำเข้า เพิ่มขึ้นถึง 16.6% คิดเป็นมูลค่า 10.24 ล้านล้านเยน ซึ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์สำหรับเดือน ก.ค.เช่นกัน
โดยมีสินค้านำเข้าหลัก คือ ผลิตภัณฑ์ยาและอุปกรณ์สื่อสาร ขณะที่ในวันศุกร์ (23/8) สกุลเงินเยนแข็งค่าขึ้นเป็นระยะเวลาหนึ่งเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ โดยนักลงทุนได้เข้าซื้อเงินเยนหลังจากที่คาซูโอะ อุเอดะ ผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) กล่าวต่อรัฐสภาญี่ปุ่นในวันศุกร์ (23/8) หรือ BOJ พร้อมที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หากเศรษฐกิจและเงินเฟ้อเป็นไปตามคาด
ขณะที่ BOJ ยังคงจับตาสถานการณ์ตลาดอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ในช่วงต้นสัปดาห์ค่าเงินเยนเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 144.44-148.05 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ และปิดตลาดในวันศุกร์ (23/8) ที่ระดับ 145.97/99 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ