
สภาพัฒน์เผยอัตราว่างงานคนไทยไตรมาส 2 ปี 2567 เพิ่มขึ้นครั้งแรกหลังจากฟื้นตัวจากโควิด-19 ขยับมาสู่ 1.07% ส่วนเทรนด์หนี้เสียยังเพิ่มขึ้นมาที่ 2.99% เร่งแบงก์ช่วยปรับโครงสร้างหนี้-จับตาประเด็นการกู้เงินนอกระบบบนโซเชียลมีเดีย
วันที่ 26 สิงหาคม 2567 นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ แถลงภาวะสังคมไทยไตรมาส 2/2567 ภาพรวมการจ้างงานในไตรมาส 2/67 ลดลง 0.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยจำนวนผู้มีงานทำอยู่ที่ 39.5 ล้านคน
การจ้างงานที่ลดลง เป็นผลจากการจ้างงานภาคเกษตรกรรมที่ลดลง 5% ขณะที่การจ้างงานนอกภาคเกษตรขยายตัว 1.5% โดยสาขาโรงแรมและภัตตาคาร เพิ่มขึ้น 4.9% สาขาขนส่งและเก็บสินค้าเพิ่มขึ้น 9% และสาขาการผลิตเพิ่มขึ้น 2.2%
“ถ้าเราดูจะเห็นว่าสาขาภาคเกษตรมีการจ้างงานลดลงต่อเนื่อง ส่วนสาขานอกภาคเกษตรขยายตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องมาหลายไตรมาส แสดงให้เห็นว่าแรงงานภาคเกษตรมีการเคลื่อนย้ายไปนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น” นายดนุชากล่าว
นอกจากนี้ ยังเห็นอัตราว่างงานเพิ่มขึ้นครั้งแรก หลังจากฟื้นตัวจากโควิด-19 อัตราการว่างงานอยู่ที่ 1.07% โดยมีผู้ว่างงาน 430,000 คน เพิ่มขึ้นในกลุ่มผู้ที่เคยทำงานมาก่อน ทั้งนี้ ผู้ว่างงานระยะยาวลดลงต่อเนื่องที่ 5.7% ส่วนอัตราการว่างงานในระบบประกันสังคมอยู่ที่ 1.92% ลดลงจาก 2.13% ในไตรมาส 2 ปี 2566
สำหรับประเด็นหนี้สินครัวเรือนในไตรมาสที่ 1 หนี้สินครัวเรือนมีมูลค่ารวม 16.37 ล้านล้านบาท ขยายตัว 2.5% ชะลอลงจาก 3% ในไตรมาสก่อนหน้า และคิดเป็นสัดส่วนต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) 90.8% ลดลงจาก 91.4% ในไตรมาสก่อนหน้า
ทั้งนี้ หนี้ครัวเรือนที่ปรับลดลงมาจากประเด็นที่ทำให้สถาบันการเงินเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อแก่ครัวเรือน อย่างไรก็ตาม คุณภาพสินเชื่อของครัวเรือนปรับลดลงต่อเนื่อง โดยหนี้เพื่อการอุปโภคบริโภคที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของธนาคารพาณิชย์มีมูลค่ารวม 1.63 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 2.99% ต่อสินเชื่อรวม เพิ่มขึ้นจาก 2.88% ในไตรมาสที่ผ่านมา
ซึ่งเป็นการปรับขึ้นเป็นไตรมาสที่ 5 ติดต่อกัน อย่างไรก็ตาม สัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) ต่อสินเชื่อรวมในไตรมาสที่ 2 ปี 2567 อยู่ที่ 8.5% เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 3 สูงกว่าก่อนช่วงโควิด-19 (ไตรมาสที่ 4 ปี 2562) ที่เคยอยู่ที่ 8% สะท้อนปัญหารายได้ของครัวเรือนที่อาจยังไม่ฟื้นตัว ภายหลังมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้เริ่มสิ้นสุดลง
กลุ่มหนี้ที่มีปัญหาคือ กลุ่มสินเชื่อบัตรเครดิตที่มีหนี้เสียและมีหนี้ค้างชำระ 1-3 เดือนเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนในไตรมาสที่ 1 ปี 2567 ที่ 4.13% จาก 3.57% ในไตรมาส 4 ปี 2566 และยังพบว่าจำนวนบัญชีบัตรเครดิตที่เริ่มมีสถานะผิดนัดชำระหนี้ 1 ถึง 3 เดือนขยายตัวเร่งขึ้น หลังจากที่ธนาคารแห่งประเทศไทยมีการปรับอัตราการจ่ายบัตรเครดิตขั้นต่ำจาก 5% เป็น 8% ตั้งแต่รอบบัญชีมกราคมปี 2567 ทำให้ลูกหนี้มียอดผ่อนชำระในแต่ละงวดเพิ่มขึ้น และลูกหนี้บางส่วนปรับตัวไม่ได้ ทำให้ไม่สามารถชำระหนี้คืนได้
“สถาบันการเงินจะต้องเร่งปรับโครงสร้างลูกหนี้บัตรเครดิตที่เริ่มผ่อนชำระไม่ไหว ขณะที่ลูกหนี้จะต้องรีบติดต่อสถาบันการเงินเพื่อไม่ให้เกิดหนี้เสีย” นายดนุชากล่าว
ส่วนกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทยคงอัตราการผ่อนชำระบัตรเครดิตขั้นต่ำไว้ที่ 8% ไปจนถึงสิ้นปี 2568 และยังไม่ได้ปรับขึ้นเป็น 10% นั้น นายดนุชาระบุว่าจะกระทบกับกลุ่มลูกหนี้ที่จำเป็นจะต้องผ่อนชำระ แต่อีกมุมหนึ่งก็เป็นการสร้างวินัยทางการเงิน หากจะมีการทบทวนปรับลดลง จะต้องมีการหารือก่อน เพื่อให้ได้ตัวเลขที่เหมาะสม และหากจะคงไว้ที่ 8% จะต้องมีมาตรการอื่นมาเพิ่มเติม เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระให้กับลูกหนี้
นอกจากนี้ ยังมีความกังวลถึงรูปแบบการให้กู้ยืมเงินนอกระบบที่มีความหลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะการกู้ยืมเงินนอกระบบผ่านโซเชียลมีเดีย อาจนำไปสู่พฤติกรรมการใช้จ่ายฟุ่มเฟือย และก่อหนี้เกินตัวได้ง่ายขึ้น รวมทั้งมีความเสี่ยงต่อการก่อหนี้สิน จากอัตราดอกเบี้ยนอกระบบที่อยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะกลุ่มเด็กรุ่นใหม่
สำหรับข้อเสนอที่มีการเสนอให้ปรับลดการเก็บเงินสมทบกองทุนเพื่อฟื้นฟูสถาบันการเงิน (FIDF) ที่ปัจจุบันเก็บอยู่ 0.46-0.47% ลงครึ่งหนึ่ง แล้วนำเงินที่เหลือไปช่วยลดหนี้ครัวเรือนให้กับประชาชน นายดนุชากล่าวว่าในเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่ต้องมีการหารือกัน ระหว่างกระทรวงการคลังกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ว่ามาตรการจะมีผลอย่างไรบ้างเมื่อออกมา โดยในส่วนนี้ก็ถือเป็นแนวทางหนึ่งที่จะแก้ปัญหานี้