ก.ล.ต.-ปปง.-ตลท. MOU กวาดล้างทุจริตตลาดหุ้น

ก.ล.ต. - ปปง. - ตลท. MOU กวาดล้างทุจริตตลาดหุ้น

สัญญาณเตือนจากรัฐบาล “ก.ล.ต.-ปปง.-ตลท.” MOU กวาดล้างทุจริตตลาดหุ้น ลุยตั้งคณะทำงานร่วม “ประธานบอร์ด ตลท.” มั่นใจช่วยลดเวลาตรวจสอบ บังคับใช้กฎหมายเร็วขึ้น “ประธานบอร์ด ก.ล.ต.” ชี้เชื่อมโยงข้อมูลไร้รอยต่อ จัดการปัญหาตั้งแต่ต้นเหตุ “ดร.ภากร” เชื่อมั่นทุจริตทำได้ยากขึ้น และจะถูกจับได้รวดเร็ว “พรอนงค์” มั่นใจดูแลได้ทั้งฝั่งหลักทรัพย์-เงิน ทำให้เกิดความเกรงกลัวและยับยั้งการกระทำความผิดได้ดียิ่งขึ้น

วันที่ 26 สิงหาคม 2567 นายพิชัย ชุณหวิชร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ทุกฝ่ายเรียกร้องการสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ลงทุน (Trust and Confidence) ทั้งนักลงทุนในประเทศและนักลงทุนต่างประเทศ โดยความเชื่อมั่นมีองค์ประกอบสำคัญคือ 1.กลไกการทำงานของการลงทุน

ซึ่งในช่วง 5-6 เดือนที่ผ่านมา มีหลายมาตรการที่ออกมาเพื่อทำให้ทุกคนมั่นใจว่ากลไกของการลงทุนเป็นธรรม และเป็นไปตามกลไกของตลาด ไม่ว่าจะเป็นมาตรการ Short Sell, Naked Short Sell และ Program Trading ซึ่งไม่ขัดกับแนวปฏิบัติสากล และปัจจุบันก็ส่งผลให้เห็นแล้วว่าสามารถควบคุมได้

2.การลงทุนไม่สุจริต-ทุจริต ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหาย และที่ผ่านมามีความร่วมมือในการจัดการปัญหาที่เกิดขึ้น โดยความร่วมมือที่ดีที่สุดคือ ร่วมกันเฝ้าระวัง (Surveillance) โดยหน่วยงานที่มีข้อมูลที่ดีที่สุดคือ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เพราะเห็นข้อมูลการซื้อขายทุกวัน

รวมทั้งหน่วยงานกำกับตลาดทุนไทยอย่าง สำนักงานคณะกรรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และจะดีที่สุดเมื่อข้อมูลของ 2 หน่วยงานนี้ เชื่อมโยงกับข้อมูลเส้นทางการเงินที่เคลื่อนไหวในตลาดทุนอันเกิดขึ้นจากการลงทุนไม่สุจริต โดยประสานความร่วมมือกับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)

ADVERTISMENT

MOU กวาดล้างทุจริตตลาดหุ้น

“ดังนั้นการที่ 3 หน่วยงานทั้ง ตลท. ก.ล.ต. และ ปปง. ในวันนี้ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงว่าด้วยการประสานความร่วมมือเพื่อประโยชน์ในการป้องกันและปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับการซื้อขายหุ้น อันเป็นความผิดมูลฐานตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน เป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุด

โดยเฉพาะการเรียกความเชื่อมั่นจากนักลงทุนต่างประเทศ และเชื่อมั่นว่าเมื่อมีการเฝ้าระวังไม่ให้การทุจริตเกิดขึ้นแล้ว การกำกับโดยมีกฎหมายรองรับจะต้องตามมาอย่างแน่นอน โดยจะมีการออกกฎหมายเพื่อลงโทษถึงตัวผู้ลงทุนที่แท้จริงได้อย่างเหมาะสม รวดเร็ว เป็นธรรม และลดความเสียหายของผู้ลงทุนได้ด้วย” นายพิชัยกล่าว

ADVERTISMENT

และ 3.การสร้างมูลค่าสะท้อนกลับมาที่เศรษฐกิจ ซึ่งขณะนี้มีผลิตภัณฑ์โครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ซึ่งของเก่าต้องปรับปรุงเพื่อให้มีมูลค่าเพิ่มขึ้น เชื่อว่ายังมีมูลค่าอีกอย่างน้อย 20 ปี ส่วนผลิตภัณฑ์โครงสร้างธุรกิจใหม่ที่เกี่ยวข้องกับดิจิทัล ก็จะทำให้การลงทุนไม่ใช่เฉพาะการเข้าถึงของนักลงทุนสถาบันหรือนักลงทุนรายใหญ่ แต่ต้องเข้าถึงนักลงทุนราย่อยอีกด้วย

พิชัยชี้หุ้นขึ้นทุก 100 จุด ดันมาร์เก็ตแคป 1.3 ล้านล้าน

“เราได้เดินมาเกือบครบทุกมิติแล้ว จิ๊กซอว์แต่ละตัวได้มาต่อกัน ทำให้ตลาดทุนจะสามารถฟื้นกลับมาได้ จากตอนที่ดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET INDEX) เคยขึ้นไประดับ 1,800 จุด มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap.) อยู่ประมาณ 22-23 ล้านล้านบาท และตอนนี้ SET INDEX อยู่ที่บริเวณ 1,300 จุด ซึ่ง Index ขึ้นทุก ๆ 100 จุด จะคิดเป็น Market Cap. ประมาณ 1.2-1.3 ล้านล้านบาท หรือขึ้นทุก ๆ 200 จุด จะคิดเป็น Market Cap. ประมาณ 2.5 ล้านล้านบาท ดังนั้นจะทำให้มูลค่าหุ้นของนักลงทุนในตลาดหุ้นไทยซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนไทยเพิ่มขึ้นทันที ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าจะตอบโจทย์นักลงทุนได้เร็ว” นายพิชัย กล่าว

ลดเวลาตรวจสอบ บังคับใช้กฎหมายเร็วขึ้น

ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ประธานกรรมการ ตลท. กล่าวว่า ความร่วมมือกันระหว่าง ตลท. ก.ล.ต. และ ปปง. เชื่อว่าในเรื่องระยะเวลาการดำเนินการกับผู้กระทำผิด เป็นเรื่องหนึ่งที่จะสามารถเร่งดำเนินการได้ โดยการลดความซ้ำซ้อนในกระบวนการทำงานของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยการแชร์ข้อมูลระหว่างหน่วยงานที่ได้มา และไม่ต้องทำข้อมูลซ้ำ ๆ เหมือนที่เคยเกิดขึ้นในอดีต ซึ่งช่วยลดเวลาการดำเนินงานการตรวจสอบ การบังคับใช้กฎหมายได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องสำคัญมากคือ การบังคับใช้กฎหมายที่ ปปง. ให้ความร่วมมือ เพื่อดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดในคดีที่มีผลกระทบต่อสังคมและผู้ลงทุนอย่างมีนัยสำคัญ เพื่อเป็นการป้องปรามให้ผู้กระทำผิดให้คิดหลายรอบก่อนที่คิดจะกระทำความผิด ซึ่งเชื่อมั่นว่าจะสร้างความเชื่อมั่นกลับคืนมาได้

ปปง. เผยยึดอายัดทรัพย์สินแล้ว 2 หมื่นล้าน

นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ประธานกรรมการ ปปง. กล่าวว่า การ MOU ในครั้งนี้ ถือเป็นสัญญาณจากรัฐบาลในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับทุกคน โดย ปปง.เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการรักษาประโยชน์สาธารณะ โดยช่วงตั้งแต่ต้นปี 2567 จนถึงปัจจุบัน ปปง.ได้ยึดและอายัดทรัพย์สินเกี่ยวกับมูลฐานความผิดกว่า 20,000 ล้านบาท หลายคดีไม่ผิดในคดีอาญา แต่เพื่อไม่ให้หลุดพ้น ก็มีมาตรการยึดทรัพย์สินตามกฎหมาย ปปง. ซึ่งการดำเนินการต่อทรัพย์ นอกจากเกี่ยวข้องกับความผิดในตลาดหุ้นแล้วที่เป็นความกังวล ยังรวมถึงในเรื่องยาเสพติดและการก่อการร้ายอีกด้วย

“กฎหมาย ปปง. เป็นกฎหมายพิเศษ การดำเนินการทั้งคดีอาญา และบนมูลฐานความผิด รวมทั้งการดำเนินการต่อทรัพย์สินในการยึดและอายัดนั้น ต้องดำเนินการด้วยเหตุและผลบนหลักกฎหมาย และบนพื้นฐานของหลักสิทธิมนุษยชน เพราะกฎหมาย ปปง. เป็นกฎหมายสากล”

เชื่อมโยงข้อมูลไร้รอยต่อ จัดการปัญหาตั้งแต่ต้นเหตุ

ศาสตราจารย์พิเศษ วิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ประธานกรรมการ ก.ล.ต. กล่าวว่า การ MOU ในครั้งนี้มองได้ 2 ประเด็นคือ การทำงานร่วมกับตลาดหลักทรัพย์ โดยเชื่อมโยงข้อมูลกันได้แบบไม่มีช่องว่างหรือไร้รอยต่อ สามารถส่งข้อมูลต่าง ๆ ให้แต่ละฝ่ายได้ทราบว่าต้องการอะไร แต่ละฝ่ายมีอะไร จะช่วยลดระยะเวลาในการทำงานลงได้มาก และทำให้จัดการปัญหาตั้งแต่ต้นเหตุ (Early Detection) ได้ ซึ่งเป็นจุดสำคัญ และการทำงานร่วมกับ ปปง. ในการจัดการปัญหากับคดีทางการเงิน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่สุด ที่จะดำเนินการได้มีประสิทธิภาพ

“ผมเชื่อว่าเมื่อเราสามารถเชื่อมข้อมูลแบบไร้รอยต่อกับตลาดหลักทรัพย์ฯ และสร้างระบบการทำงานที่เชื่อมต่อข้อมูลกับ ปปง. เชื่อว่ากลไกนี้จะเป็นตัวหนุนกับกลไก ที่ ก.ล.ต.พยายามจะสร้างขึ้นภายในเวลา 1-2 เดือนต่อจากนี้ จะส่งผลทำให้ Trust and Confidence กลับมาและช่วยส่งเสริมทำให้ปัจจัยบวกที่มีในระบบเศรษฐกิจเป็นตัวกระตุ้นทำให้ตลาดทุนฟื้นตัวได้ดียิ่งขึ้น”

ตั้งคณะทำงานร่วม

นายเทพสุ บวรโชติดารา เลขาธิการ ปปง. กล่าวว่า มาตรการในการดำเนินการตามกฎหมายฟอกเงิน มุ่งเน้นในการตัดวงจรอาชญากรรม โดยการบูรณาการของ 3 หน่วยงาน เพื่อต้องการทำให้ตลาดทุนไทยเป็นตลาดที่สะอาดและโปร่งใส เป็นที่ยอมรับของนักลงทุน และเจริญรุ่งเรือง

โดยในกรณีเกิดเหตุหรือทุจริตในตลาดทุน จะมีการทำงานร่วมกันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้การทำงานเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยจะมีการตั้งคณะทำงานร่วมเพื่อให้ทันต่อเหตุการณ์ขึ้น มีการกำหนดตัวผู้รับผิดชอบ มีการประสานการปฏิบัติงานอย่างรวดเร็ว โดยมุ่งเน้นทำงานเป็นทีม และมุ่งหวังว่าความร่วมมือจะมีผลสัมฤทธิ์อย่างแน่นอน

เชื่อทุจริตยากขึ้น และถูกจับได้รวดเร็ว

ดร.ภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลท. กล่าวว่า การ MOU ครั้งนี้ ถือว่ามีการจัดตั้งกระบวนการทำงานชัดเจน ในการแลกเปลี่ยนข้อมูล และการตรวจสอบต่าง ๆ ให้เป็นระบบ ยิ่งไปกว่านั้นการที่มี 3 หน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเงิน และหลักทรัพย์ ก็สามารถทำได้พร้อมกันเลย และรวดเร็วขึ้น จากในอดีตอาจจะตรวจสอบเรื่องหลักทรัพย์ได้เร็ว แต่อดีตทำเรื่องเงินได้ช้า

และการเพิ่มจัดการปัญหาตั้งแต่ต้นเหตุ (Early Detection) การส่งมอบข้อมูลต่าง ๆ ให้กับนักลงทุน การตรวจสอบต่าง ๆ เชื่อว่า การร่วมมือลักษณะนี้จะสามารถทำให้กระบวนการต่าง ๆ ทำได้รวดเร็วขึ้น และเชื่อว่าจะทำให้เกิดความยำเกรงในอนาคตว่า ถ้าใครจะทำการทุจริต จะทำได้ยากขึ้น และจะถูกจับได้อย่างรวดเร็ว และหวังว่าในอนาคตจะมีโทษที่หนักขึ้นด้วย

“กรณีหุ้น MORE ทาง ปปง. สามารถฟลีตเงินได้ไม่ถึง 1 เดือน และ ก.ล.ต. จัดการได้ไม่ถึง 1 ปี ดังนั้นเชื่อการมีคณะทำงานร่วม จะทำให้เคสต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น แก้ไขปัญหาได้เร็วขึ้น”

ต่อจิ๊กซอว์ สร้างเชื่อมั่น-ดึงเงินลงทุนระยะยาว

ศ.ดร.พรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการ ก.ล.ต. กล่าวว่า การ MOU วันนี้เป็นแค่หนึ่งจิ๊กซอว์ในการสร้างความเชื่อมั่นต่อตลาดทุนไทย ซึ่งจริง ๆ ยังมีจิ๊กซอว์อื่น ๆ ที่ได้ดำเนินการไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นมาตรการกำกับการซื้อขายให้เกิดความเป็นธรรม ให้เกิดความโปร่งใส ซึ่งมาตรฐานเหล่านั้นเห็นผลในเชิงรูปธรรม และยังมีมาตรการอื่น ๆ ที่สร้างเม็ดเงินลงทุนที่เป็นระยะยาว

เช่น กองทุน Thai ESG, กองทุนวายุภักษ์ ที่กำลังอยู่ระหว่างดำเนินการ ซึ่งจะเห็นว่าการดำเนินการไม่ได้เกิดขึ้นแค่หน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง เป็นความร่วมมือกันในสิ่งที่เป้าหมายร่วมกันคือ ทำให้ตลาดทุนไทยเป็นกลไกที่สำคัญในการสร้างเสริมเศรษฐกิจของประเทศ

“ปี 2568 คงจะไม่ได้มาพูดเรื่อง Trust and Confidence กันแล้ว โดยปีหน้าเราจะก้าวกระโดดในการส่งเสริมเรื่องกิจกรรมที่จะเข้าไปตอบรับกับนโยบายภาครัฐ ทั้งการระดมทุน การออม และสร้างการแข่งขันของประเทศ”

และฝากเตือนผู้ที่จะคิดจะกระทำความผิดในตลาดทุนไทยว่า ไม่ได้อยู่ในโลกที่จะทำได้ง่าย ๆ อีกต่อไปแล้ว ข้อมูลเหล่านี้จะถึงกัน แล้วจะสามารถดูแลได้ทั้งฝั่งหลักทรัพย์และเงิน ก็จะทำให้เกิดความเกรงกลัว และยับยั้งในการกระทำความผิดได้ดียิ่งขึ้น