บาทแข็งค่าสุดในรอบปี หลังเฟดส่งสัญญาณลดดอกเบี้ย

เงินบาท-ธนบัตร-แบงก์โน้ต
REUTERS/Athit Perawongmetha

บาทแข็งค่าสุดในรอบปี แตะระดับแข็งค่าสุดที่ 33.89 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ หลังเฟดส่งสัญญาณลดดอกเบี้ย เผยปัจจุบันอัตราเงินเฟ้อเข้าใกล้เป้าหมายมากขึ้นและเศรษฐกิจยังคงเติบโตในอัตราที่มั่นคง

วันที่ 26 สิงหาคม 2567 ฝ่ายค้าเงินตราต่างประเทศ ธนาคารกรุงเทพรายงานว่า สภาวะการเคลื่อนไหวตลาดปริวรรตเงินตราประจำวันจันทร์ที่ 26 สิงหาคม 2567 ค่าเงินบาทเปิดตลาดเช้าวันนี้ (26/8) ที่ระดับ 33.89/90 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าจากระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (25/8) ที่ระดับ 34.26/27 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ โดยค่าเงินบาทปรับตัวแข็งค่าต่อเนื่อง จนแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบปีที่ 33.89 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ตามทิศทางการอ่อนค่าของดอลลาร์

หลังจากในวันศุกร์ที่ผ่านมา (25/8) นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐแถลงในการประชุมประจำปี 2520 ของธนาคารกลางสหรัฐ ที่เมืองแจ็กสันโฮล รัฐไวโอมิง ซึ่งมีใจความว่า ปัจจุบันความผิดปกติทางเศรษฐกิจที่เกี่ยวกับโควิด-19 เริ่มจางหายไปจากการดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดของเฟด ซึ่งช่วยฟื้นสมดุลระหว่างอุปทานและอุปสงค์ บรรเทาแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ และสามารถยึดเหนี่ยวอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์เอาไว้ได้ดี จนกระทั่งปัจจุบันอัตราเงินเฟ้อเข้าใกล้เป้าหมายมากขึ้นและเศรษฐกิจยังคงเติบโตในอัตราที่มั่นคง

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลเงินเฟ้อและตลาดแรงงานล่าสุดแสดงให้เห็นถึงสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป ความเสี่ยงด้านบวกต่อเงินเฟ้อลดลง แต่ความเสี่ยงด้านลบต่อการจ้างงานเพิ่มขึ้น จึงถึงเวลาแล้วที่จะต้องปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ส่วนระยะเวลาและความเร็วในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยจะขึ้นอยู่กับข้อมูลใหม่ที่เข้ามา

สำหรับตัวเลขทางเศรษฐกิจสหรัฐกระทวงพาณิชย์สหรัฐเผยยอดขายบ้านใหม่พุ่งขึ้น 10.6% สู่ระดับ 739,000 ยูนิตในเดือน ก.ค. เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือน พ.ค. 2566 และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 625,000 ยูนิต จากระดับ 668,000 ยูนิตในเดือน มิ.ย. ผ่านแรงหนุนจากการปรับตัวลงของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนอง

สำหรับปัจจัยภายในประเทศ วันเสาร์ที่ผ่านมา (24/) นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวถึงการดำเนินนโยบายการเงินว่า ธปท.ดำเนินนโยบายการเงินโดยยึดหลัก Outlook Dependent ซึ่งการพิจารณาจะขึ้นกับมุมมองที่มีต่อ 3 ปัจจัยสำคัญ ทั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ อัตราเงินเฟ้อ และเสถียรภาพการเงิน

ADVERTISMENT

ในเรื่องการเติบโตของเศรษฐกิจ จะพบว่ามุมมองไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากก่อนหน้าที่เคยประเมินไว้ โดยเศรษฐกิจไทยเริ่มเข้าสู่ระดับศักยภาพ แม้ในไตรมาส 2 การลงทุนของภาครัฐและเอกชนจะลดลงไปบ้า ขณะที่อัตราเงินเฟ้อ แม้จะอยู่ในระดับต่ำแต่แนวโน้มก็เริ่มจะกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายที่ 1-3% ซึ่งสิ่งที่สำคัญมากกว่าการทำให้เงินเฟ้อเข้าสู่กรอบเป้าหมายคือ การไม่ทำให้เงินเฟ้อคาดการณ์อยู่ในระดับที่สูงเกินไป เพราะจะนำไปสู่ภาวะเงินฝืดจนทำให้การบริโภคชะลอตัว เพราะหวังว่าในอนาคตราคาสินค้าจะถูกลงมากกว่านี้ ซึ่งปัจจุบันภาพดังกล่าวยังไม่เกิดขึ้น

ส่วนเสถียรภาพการเงินนั้น หากภาคการเงินตึงตัวรุนแรงกว่าที่ประเมิน จนกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจ คณะกรรมการนโยบายการเงินก็พร้อมจะปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินให้เหมาะสมกับสถานการณ์ในขณะนั้น ทั้งนี้ในระหว่างวันบาทเคลื่อนไหวในกรอบระหว่าง 33.88-34.03 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ และปิดตลาดที่ระดับ 33.97/98 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ

ADVERTISMENT

สำหรับการเคลื่อนไหวของค่าเงินยูโรเปิดตลาดเช้าวันนี้ (26/8) ที่ระบ 1.1197/98 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร แข็งค่าขึ้นจากระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (16/8) ที่ระดับ 1.1117/19 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร

โดยนายมาร์ติน คาซักส์ ผู้ว่าการธนาคารกลางลัตเวีย และสมาชิกคณะกรรมการกำหนดนโยบายของธนาคารกลางยุโรป กล่าวต่อสำนักข่าวรอยเตอร์นอกกรอบการประชุมแจ็กสันโฮลว่า อีซีบีมีโอกาสในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงได้อีก 2 ครั้งในปีนี้ ท่ามกลางอัตราเงินเฟ้อของยูโรโซนที่แนวโน้มชะลอตัวลงสอดคล้องกับการคาดการณ์

นอกจากนี้ สถาบัน IFO เผยดัชนีบรรยากาศทางธุรกิจของเยอรมนี ชะลอลงมาอยู่ที่ระดับ 86.6 จากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 87.0 แต่มากกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 86.0 ทั้งนี้ในระหว่างวัน ยูโรเคลื่อนไหวในกรอบระหว่าง 1.1174-1.1200 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร และปิดตลาดที่ระดับ 1.1182/84 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร

สำหรับการเคลื่อนไหวของค่าเงินเยนเปิดตลาดเช้าวันนี้ (26/8) ที่ระดับ 143.63/65 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าจากระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (23/8) ที่ระดับ 146.13/15 เยนดอลลาร์สหรัฐ

โดยนายปิแอร์-โอลิเวียร์ กูรินชาส หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ IMF กล่าวในการประชุมประจำปีที่แจ็กสันโฮล รัฐไวโอมิงว่า ภายใต้การประเมินของ IMF ความเร็วในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของญี่ปุ่น จะขึ้นอยู่กับข้อมูลเศรษฐกิจเป็นหลัก ทั้งอัตราเงินเฟ้อ การขยายตัวของค่าจ้าง และการคาดการณ์เงินเฟ้อ ซึ่งปัจจุบันเงินเฟ้อของญี่ปุ่นสูงกว่า 2% และการคาดการณ์เงินเฟ้อเริ่มปรับตัวสู่เป้าหมายของ BOJ ที่ระดับ 2% หรืออาจปรับตัวสูงกว่านั้นเล็กน้อย

จึงคาดการณ์ว่าธนาคารกลางญี่ปุ่นสามารถปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อให้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายเป็นพิเศษกลับสู่ภาวะปกติมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับคำกล่าวของนายคาซูโอะ อุเอดะ ผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่นที่กล่าวต่อรัฐสภาญี่ปุ่นในศุกร์ (23/8) ว่า BOJ พร้อมที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หากเศรษฐกิจและเงินเฟ้อเป็นไปตามคาด

อย่างไรก็ตาม ด้วยสถานการณ์ความไม่แน่นอนตลาดในประเทศ และนอกประเทศปัจจุบันทำให้ BOJ คงท่าทีระมัดระวังเพราะความผันผวนดังกล่าวอาจปลี่ยนคาดการณ์เงินเฟ้อของคณะกรรมการได้ ทั้งนี้ในระหว่างวันค่าเงินเยนเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 143.43-14.21 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ และปิดตลาดที่ระดับ 143.93/94 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ

ส่วนตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญในสัปดาห์นี้ ได้แก่ รายงานยอดคำสั่งซื้อสินค้าคงทนดือน ก.ค. ของสหรัฐ (26/8), ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน ส.ค. ของสหรัฐ (27/8), ดัชนีราคาผู้บริโภคเดือน ก.ค. ของออสเตรเลีย (28/8), ดัชนีราคาผู้บริโภคเดือน ก.ค.ของเยอรมนี (29/8), ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศไตรมาส 2 ของสหรัฐ (29/8), จำนวนผู้ยื่นขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ของสหรัฐ (29/8), ดุลการค้าไทยเดือน ก.ค. (30/8), ดัชนีราคาผู้บริโภคเดือน ส.ค. ของยูโรโซน (30/8), ดัชนีราคาจากรายจ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคลเดือน ก.ค.ของสหรัฐ (30/8) และดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อเดือน ก.ค.ของจีน (31/8)

สำหรับอัตราป้องกันความเสี่ยง (Swap point) ภาคเช้า 1 เดือนในประเทศอยู่ที่ -9.1/-9.0 สตางค์/ดอลลาร์สหรัฐ และอัตราป้องกันความเสี่ยงภาคเช้า 1 เดือนต่างประเทศอยู่ที่ -10.0/-8.5 สตางค์/ดอลลาร์สหรัฐ