
“สิ่งที่เราทำอยู่ทุกวันนี้ จริง ๆ แล้วเป็นการพูดถึงการมุ่งไปสู่ปลายทาง คือ เรื่องของความยั่งยืน หรือ Sustainability กรอบคือ เราพูดถึง Triple Bottom Line ซึ่งไม่เหมือนสมัยก่อนแล้ว ที่พูดถึง Maximize Shareholder Wealth (ความมั่งคั่งสูงสุดของผู้ถือหุ้น) แต่ตอนนี้ เราพูดถึงการสร้างกำไรแบบพอดี ๆ เราดูแลสังคม เราดูแลสิ่งแวดล้อมด้วย”
ข้างต้นนี้ เป็นแนวทางการบริหาร ซึ่ง “วิทัย รัตนากร” ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน คนปัจจุบัน ได้มาบรรยายเรื่อง “Social Bank ฉบับออมสิน” บนเวทีสัมมนา Prachachat ESG Forum 2024 หัวข้อ “Time for Action #พลิกวิกฤตโลกเดือด” จัดโดยประชาชาติธุรกิจ เมื่อเร็ว ๆ นี้
“Social Bank” ไม่ใช่แค่ ESG
“วิทัย” กล่าวว่า ออมสินดำเนินงานในรูปแบบ “Social Bank” มาได้กว่า 4 ปีแล้ว โดยมีเป้าหมายเพื่อบรรเทา “ความเหลื่อมล้ำทางการเงิน” และพยายามเข้าไปช่วยให้คนไทย “เข้าถึงแหล่งเงินทุน” ได้อย่างเป็นธรรม ซึ่งทั้ง 2 เรื่องนี้เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างอย่างแท้จริง โดยตนไม่สามารถจะไปบอกว่าจะแก้ปัญหานี้ได้ทั้งหมด แต่พยายามจะบรรเทาปัญหาให้ได้มากที่สุด
“โมเดลธุรกิจของเรา ง่าย ไม่มีอะไรซับซ้อน คือข้างหนึ่งก็ทำเชิงพาณิชย์ตามปกติ ธุรกิจใหญ่ มีกำไรเยอะ เอากำไรจากธุรกิจใหญ่มาอุดหนุนการดำเนินงานในเชิงสังคม โดยเราไม่ได้เห็นภารกิจทางสังคมเป็นแค่โครงการด้าน CSR แต่เราเห็นเป็นภารกิจเชิงสังคมที่เข้าไปช่วยคน แปลว่า มันเริ่มต้นจากขาดทุนได้เลย เพียงแต่ขาดทุนในระดับที่พอจะมีกำไรสำหรับมาชดเชยได้
ผมยกตัวอย่าง เราปล่อยสินเชื่อ Syndication Loan โครงการโรงไฟฟ้าร่วมกับแบงก์อื่น เช่น 10,000 ล้านบาทได้ 1 โรงไฟฟ้า เราปล่อยสินเชื่อให้คนจน 1 ล้านราย คนละ 10,000 บาท ก็ใช้ 10,000 ล้านบาทเหมือนกัน เราเอากำไรจากธุรกิจใหญ่มาดูแลธุรกิจเล็ก”
ทั้งนี้ “Social Bank” ของธนาคารออมสิน จะต่างจากแบงก์อื่นที่ทำ ESG ซึ่งส่วนใหญ่จะเน้นที่ตัว “E” โดยออมสินก็ทำ ปี 2030 ก็ต้องลดคาร์บอนให้ได้ 50% ซึ่งจากการประเมินล่าสุดลดได้ประมาณ 62% แล้ว โดยมี Negative List และมี ESG Score
หากธุรกิจไหนมี ESG Score สูง ทำเรตติ้งได้ดี แบงก์ก็จะลดดอกเบี้ยให้ แล้วก็มี Negative List ที่แบงก์จะไม่ปล่อยสินเชื่อให้ อย่างเช่น ถ่านหิน เป็นต้น รวมถึงมี Positive List ที่ออมสินเข้าไปปล่อยสินเชื่อให้ พวก Green ทั้งหลาย
“แต่หลัก ๆ ชีวิตเรา คือ Social Bank ฉะนั้น เราเป็นหน่วยงานหลักที่ทำงานด้าน Social จริงจัง มีพนักงานที่ทำงานด้านนี้เกิน 200 คน กระจายอยู่ทั่วประเทศ แล้วที่เหลืออีกกว่า 2 หมื่นคนทั้งแบงก์ ก็ใช้เวลาส่วนมาก ช่วยคน ผ่านโครงการต่าง ๆ ของเรา ฉะนั้น ตัว S ของเรา ดีดออกมาอย่างชัดเจน”
“ดึงคนเข้าระบบ-แก้หนี้-พัฒนา”
โดยออมสินขับเคลื่อน 3 เรื่องหลัก คือ 1.ดึงคนเข้าระบบการเงิน (Financial Inclusion) โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านสินเชื่อ 2.การแก้ปัญหาหนี้สินให้ได้รับดอกเบี้ยที่เป็นธรรม และทำงานพัฒนาชุมชน/สังคม เหมือนกรมด้านสังคมอีกกรมหนึ่งเลย แต่ว่าใช้เงิน ใช้กำไร จากธุรกิจใหญ่มาอุดหนุน
สำหรับการดึงคนเข้าสู่ระบบการเงิน ออมสินมีการปล่อยสินเชื่อให้กับกลุ่มคนที่มีเครดิตต่ำกว่าเกณฑ์ ซึ่งปล่อยไปประมาณ 3.2 ล้านคน ใช้กำไรมาอุดหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) มีรัฐบาลเข้ามาช่วยดูแล ตอนนี้คุม NPL อยู่แถว ๆ 3.2% และใน 3.2 ล้านคน ผ่านมา 2-3 ปี ผ่อนจนจบแล้ว 2.1 ล้านคน แปลว่ากลุ่มนี้มีประวัติ มีเครดิตทางการเงิน เข้าสู่แบงก์ไหนก็ได้แล้ว
“เราภูมิใจมาก นี่คือ Financial Inclusion ออมสินเราเน้น Impact เราไม่เน้น พี.อาร์.แล้วเดี๋ยวนี้ ไม่เน้นเซ็น MOU โครงการไหนมาสร้าง Impact ไม่ได้ ก็ไม่ต้องพูดกัน เราเข้าไปแข่งขันในตลาดที่เห็นว่าดอกเบี้ยแพงเกินจริง และ NPL ต่ำ
อย่างเช่น จำนำทะเบียนมอเตอร์ไซค์ ที่ตอนนั้นดอกเบี้ย 28% NPL 3% ซึ่ง NIM แบงก์พาณิชย์จะอยู่ที่ 3% ส่วน NIM แบงก์รัฐจะ 2-3% แต่จำนำทะเบียน NIM จะ 20% เราก็เข้าไปตัดราคา ลบ 10% ทำให้ดอกเบี้ยลงจาก 28% เหลือ 25% ปล่อยไป 2 ล้านคน ดอกเบี้ยในตลาดลงมาเหลือ 18% ได้ประโยชน์ประมาณ 5 ล้านคน”
นอกจากนี้ ยังทำสินเชื่อที่ดินขึ้นมา โดยไม่ต้องมีการวิเคราะห์ทางการเงิน เอาที่ดินเข้าแบงก์ ปล่อยสินเชื่อไป 2.7 หมื่นล้านบาท ช่วยเอสเอ็มอีได้หลายพันราย
สำหรับการแก้ปัญหาหนี้สินเพื่อให้โอกาสกลับมาใช้สินเชื่อในระบบ ไม่ว่าจะครู หรือใคร ซึ่งช่วยไป 1.1 ล้านคนแล้ว แล้วก็ยังมีการลดดอกเบี้ย MRR ไป 2 ครั้งในปี 2567 นี้ หรือประมาณ 40 สตางค์ แม้ว่าดอกเบี้ยนโยบายจะไม่ได้ลด ช่วยคนได้กว่า 8.5 แสนราย
แล้วยังยกหนี้ให้คนตัวเล็กตัวน้อยที่กู้ในช่วงโควิด คนละ 3,000-4,000 บาทไปแล้ว 7.2 แสนราย จากทั้งระบบมี 8 แสนราย ซึ่งเมื่อได้งบประมาณใหม่มาจะช่วยอีกกว่า 1 แสนราย คนเหล่านี้ถ้าไม่ยกหนี้ให้ จะเข้าสู่ระบบไม่ได้เป็นเวลา 8 ปี
“ถ้าเป็นหนี้เสีย 8 ปีจะเข้าสู่ระบบไม่ได้ แปลว่าอะไร แปลว่าต้องไปกู้หนี้นอกระบบ ฉะนั้น การแก้ปัญหาหนี้สินเป็นเรื่องสำคัญ และจำเป็นจริง ๆ โดยเฉพาะคนฐานราก พ่อค้า แม่ค้า”
ส่วนเรื่องการพัฒนา ออมสินทำงานร่วมกับหน่วยงานรัฐ มหาวิทยาลัย 64 แห่ง วิทยาลัยเทคนิค 54 แห่ง และวิทยาลัยสารพัดช่าง 88 แห่ง เน้นให้เด็กเข้าไปมีส่วนร่วมพัฒนาชุมชน
ชูโมเดล CSV ที่มากกว่า CSR
“วิทัย” กล่าวอีกว่า วันนี้ ออมสิน ยังได้ขับเคลื่อนภารกิจด้านสังคมอีกโมเดลหนึ่ง ที่เรียกว่า CSV หรือ Creating Shared Value คือ ไม่ได้มองว่าภารกิจเพื่อสังคมที่ทำ เป็นต้นทุน ไม่คิดว่าเป็นโครงการ CSR คือ ปีนี้มีกำไรเท่าไหร่ แล้วจะแบ่งกำไรเท่าไหร่มาทำธุรกิจ
แต่ออมสินเห็นเป็นโอกาสในการดำเนินธุรกิจ ภายใต้คอนเซ็ปต์ Creating Shared Value คือเอาปัจจัยด้านสังคม เอาภารกิจที่ช่วยคนใส่เข้าไปในโอกาสการทำธุรกิจ แล้วทำให้ธุรกิจมีรายได้ สร้างรายได้มากขึ้น มีกำไรสูงขึ้น แล้วนำกำไรที่ได้นี้มาแบ่งปันคืนให้แก่สังคม
“คิดอย่างนี้แล้ว มันจะไม่ใช่ต้นทุน กำไรขึ้น กำไรลง จะไม่เกี่ยวเลย เพราะการเอาเนื้อสังคมเข้ามาใส่ในธุรกิจ จะทำให้มีรายได้สูงขึ้น จะทำให้มีกำไรสูงขึ้น มันทำให้เกิดความยั่งยืน ถ้าเราสามารถทำให้ลูกค้าเราเห็นว่า ฝากเงินเท่ากัน ได้ดอกเบี้ยเท่ากัน แทนที่จะเลือกเข้าแบงก์พาณิชย์ก็มาเข้าออมสิน เพราะเงินนั้น เรานำไปช่วยคน หรือกู้เงินเท่ากัน ดอกเบี้ยเท่ากัน แต่มากู้ออมสิน เพราะผมนำกำไรไปช่วยคน ทำอย่างนี้แล้วจะเกิดความยั่งยืนมาก ๆ”
กำไรไม่ต้องมาก-ช่วยคนได้มาก
ผู้อำนวยการธนาคารออมสินกล่าวว่า ออมสินไม่ต้องกำไรที่เยอะมาก แต่ทำกำไรให้เหมาะสม พอดี และยังคงภารกิจส่งเงินให้รัฐบาลอยู่ แล้วก็ไม่เป็นภาระของรัฐบาล ไม่ต้องพึ่งงบประมาณรัฐในการมาชดเชยการไปช่วยคน เพราะสามารถพึ่งตัวเองได้ และยังรักษากำไรได้ในระดับที่สูง และช่วยคนได้มาก ๆ ขยายการช่วยเหลือกลุ่มเสี่ยงที่เข้าไม่ถึงแหล่งเงินทุนได้มากขึ้น ซึ่งออมสินมีเป้าหมายว่า ภายใน 4 ปีจะช่วยได้อีกราว 2 ล้านคน
“กำไรอาจลดลงบ้าง แต่ก็ถือว่ายังอยู่ระดับสูง เมื่อเทียบกับแบงก์รัฐอื่น แต่ People จะใหญ่มาก การช่วยคนจะแข็ง และลงลึกมาก เราอาจจะไม่ต้องกำไรมากมาย ปีละ 30,000 ล้านบาท หรือ 35,000 ล้านบาท ROA 1.1% ลงมาเหลือประมาณ 0.75% ก็ได้
แล้วเอากำไรไปช่วยคนในโครงการต่าง ๆ ให้เกิด Social Impact ผ่านแนวความคิด CSV ที่พูดถึงก็คือ เป็นลูกค้าเรา เท่ากับช่วยสังคม เมื่อคิดอย่างนี้แล้ว ภารกิจเราจะเพิ่มมาอีก 1 ข้อ คือ การสนับสนุนภาครัฐในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ยกตัวอย่าง เช่น Solf Loan หรือโครงการต่าง ๆ ที่กำลังจะออกมา”
ทั้งหมดนี้คือ “Social Bank ฉบับออมสิน” ที่ทำมาตลอด 4 ปี และจะทำต่อไปในอีก 4 ปีข้างหน้า