จับสัญญาณ “ผู้ว่าฯ ธปท.” จุดเปลี่ยนนโยบาย “ดอกเบี้ย”

Dr.Setthaput

“การดำเนินนโยบายการเงินเป็นสิ่งที่แบงก์ชาติพูดมาโดยตลอด จะพิจารณา Outlook Dependent หาก Outlook เปลี่ยน แบงก์ชาติก็พร้อมจะปรับเปลี่ยน นโยบายการเงิน”

“โทนในการคุยกันของกรรรมการในที่ประชุมของ กนง. สิ่งที่อยากให้ Reflect หรือสะท้อนผ่านที่ประชุมออกไปคือ อยาก Reflect ว่าเรา More Openness ที่จะมีโอกาสปรับดอกเบี้ย เพราะว่าผลกระทบออกมาแรงกว่าที่คิด”

“ปีก่อน เราเจอคำว่า Resilience (ความทนทานและยืดหยุ่น) ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงแค่คิดคำให้สวยหรู แต่เป็นการ Capture สิ่งที่สะท้อนในช่วงเวลานั้น ส่วนในปีนี้จะเห็นภาวะเศรษฐกิจและสถานการณ์ค่อนข้างพิเศษ มีความผันผวนและเปลี่ยนแปลง จึงเป็นที่มาของคำว่า ความต่อเนื่องท่ามกลางการเปลี่ยนแปลง เป็นเรื่องที่แบงก์ชาติจะดำเนินการต่อ”

เหล่านี้ เป็นสัญญาณที่ส่งออกมาโดย “ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ” ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่กล่าวกับบรรดาสื่อมวลชนในงาน “BOT Press Trip 2024” ซึ่งจัดหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) รอบล่าสุด ผ่านไปไม่กี่วัน

“เงินตึงตัว” แบะท่าปรับดอกเบี้ย

“ดร.เศรษฐพุฒิ” กล่าวถึงปัจจัยที่จะเป็นจุดเปลี่ยนทิศทางนโยบายการเงิน ว่า สิ่งที่ ธปท.พูดมาโดยตลอด คือพิจารณาจาก Outlook Dependent (ขึ้นอยู่กับแนวโน้ม) โดยหากแนวโน้มเศรษฐกิจเปลี่ยน ธปท.พร้อมจะ “ปรับเปลี่ยน” นโยบายการเงิน ซึ่ง Outlook จะพิจารณาจาก 3 ด้าน คือ 1.อัตราเงินเฟ้อ 2.เสถียรภาพเศรษฐกิจ และ 3.เสถียรภาพระบบการเงิน

สำหรับเงินเฟ้อที่ต่ำ มีแนวโน้มอยู่ในกรอบ 1-3% ที่ขอบล่าง แต่สิ่งสำคัญ คือ การคาดการณ์เงินเฟ้อไม่ให้หลุดออกกรอบ ขณะที่ภาพรวมเศรษฐกิจจากตัวเลขอัตราขยายตัว (จีดีพี) ที่ออกมาล่าสุด ถือว่าเป็นไปตามคาด แม้ว่าจะมีความเสี่ยงขาลงในบางมิติ เช่น การลงทุน แต่ภาพรวมยังคงใกล้เคียงกับที่ประมาณการไว้

ADVERTISMENT

อย่างไรก็ดี สิ่งที่เปลี่ยนแปลง คือ เสถียรภาพระบบการเงิน ที่เห็นการ “ตึงตัว” มากขึ้น หรือ “ตึงตัวเกินไป” ซึ่งมาจากธนาคารปล่อยสินเชื่อลดลง จนเริ่มมีผลกระทบเชื่อมโยงต่อเศรษฐกิจในภาพรวม ดังนั้น หากสถานการณ์มีผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการเงินรุนแรงกว่าที่ประเมินไว้ ธปท.พร้อมปรับนโยบายการเงินที่เหมาะสม

“โทนในการคุยกันของคณะกรรรมการใน กนง. สิ่งที่อยากให้สะท้อนออกไป คือ อยาก Reflect ว่าเรา More Openness (เปิดกว้างมากขึ้น) ที่จะมีโอกาสปรับดอกเบี้ย เพราะว่าผลกระทบออกมาแรงกว่าที่คิด”

ADVERTISMENT

แบงก์ไม่ปล่อยกู้ปม “เงินตึงตัว”

“ดร.เศรษฐพุฒิ” กล่าวว่า ภาคการเงินที่ตึงตัว ส่วนหนึ่งมาจากสถาบันการเงินเข้มงวดและระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น ทำให้สินเชื่อชะลอตัว ซึ่งมาจาก 2 ส่วน คือ 1.การที่แบงก์ประเมิน Credit Risk ของลูกค้า หรือผู้กู้ 2.เงินกองทุนของธนาคารแข็งแรง หรือขยายตัวมากแค่ไหน ซึ่งปัจจุบัน Balance Sheet ของธนาคารไม่ได้มีปัญหา หรือข้อจำกัดในการปล่อยสินเชื่อ

“อาจจะต้องแยกระหว่าง Financial Cycle กับ Credit Cycle เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นทั่วโลก เมื่อความเสี่ยงเพิ่มขึ้น การชะลอสินเชื่อเป็นเรื่องปกติ”

ทั้งนี้ คนมักคิดว่า สภาพคล่องเป็นเหมือนน้ำ คิดว่า ธปท.ดูดน้ำเข้าน้ำออก เพื่อรักษาดอกเบี้ยที่ 2.50% และน้ำที่ออกไปสู่ระบบเศรษฐกิจหายหดไป แต่สิ่งที่ ธปท.อยากเน้นคือ เรื่องสภาพคล่องที่คนแคร์ คือการได้หรือไม่ได้สินเชื่อ

“ไม่ได้มาจาก ธปท.เอาน้ำใส่หรือไม่ใส่ แต่มาจากแบงก์เอง ที่มองว่าปล่อยสินเชื่อจะได้กำไร หรือได้ผลตอบแทนคุ้มเสี่ยงหรือไม่ ขึ้นอยู่กับ Credit Risk หรือทุนเขาเพียงพอหรือไม่ แต่หากดูทุนวันนี้สถาบันการเงินมีเพียงพอ”

รับดอกเบี้ยอย่างเดียวไม่พอดูแล

“ดร.เศรษฐพุฒิ” กล่าวอีกว่า ภายใต้ความต่อเนื่องท่ามกลางการเปลี่ยนแปลง เรื่องที่ ธปท.จะทำเพื่อให้ไปถึงคำว่า “เสถียรภาพ” ไม่ได้เปลี่ยนแปลง แต่มีสิ่งที่ต้องดำเนินการและต้องบูรณาการการทำงานให้เหมาะสมกับการเปลี่ยนแปลง (Intergeted Policy Framework) 3 อย่าง คือ 1.การรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงิน 2.การวางรากฐานภาคการเงิน และ 3.การสร้างภูมิคุ้มกันให้ผู้ใช้บริการทางการเงิน

โดยการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินนั้น จะเน้นการทำงานและดำเนินนโยบายแบบผสมผสาน (Policy Mix) นโยบายการเงินการดูแล “ดอกเบี้ย” เป็นส่วนเดียวของเครื่องมือที่มี อาจจะต้องเสริมเครื่องมือให้ตอบโจทย์การฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ยังไม่ทั่วถึง และพร้อมปรับเครื่องมือให้สอดคล้องกับบริบทและสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป

นอกจากนี้ จะต้องขยายการติดตามและวิเคราะห์ข้อมูลเศรษฐกิจและภาวะการเงินเชื่อมโยง ที่พูดกันมากขึ้นในต่างประเทศ รวมถึงการแก้หนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน โดยโจทย์ใหญ่ของ ธปท. คือ การออกมาตรการปล่อยสินเชื่ออย่างรับผิดชอบ (Responsible Lending) ซึ่งสิ่งที่จะเน้นต่อไป คือ สิทธิของลูกหนี้ และการปรับโครงสร้างหนี้อย่างต่อเนื่องต่อไป ทั้งนี้ จะต้องตรวจรายสถาบันการเงิน ว่าปฏิบัติตามเกณฑ์ RL หรือไม่ เพื่อผลในทางปฏิบัติ

“ในด้านเสถียรภาพทางการเงิน สิ่งที่ ธปท.พยายามทำต่อเนื่อง คือ การทำงานเป็น Policy Mix เพราะรู้ดีว่า ‘ดอกเบี้ย’ อย่างเดียวไม่สามารถแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้”

ต่อยอด 3 Open ระบบการเงิน

ด้านการวางรากฐานภาคการเงิน ธปท.ยังเดินหน้า 3 Open ตั้งแต่ Open Infrastructure คือ “พร้อมเพย์” และจะมีการต่อยอดในโครงการต่าง ๆ เพิ่มเติม เช่น Nexus เชื่อมระบบ Fast Pay ไทยจะเป็นประเทศแรก 1 ใน 5 ประเทศ เตรียมเปิดในปี 2570 หรือโครงการ mBridge มีระบบรองรับการทำธุรกรรม Wholesale CBDC ในการโอนเงิน และจัดตั้งกลไกค้ำประกันเครดิต ร่วมกับกระทรวงการคลัง และภาคการเงิน ภายใต้ชื่อ สถาบันค้ำประกันเครดิตแห่งชาติ หรือ NaCGA ซึ่งเป็นสิ่งที่อยู่ในแผนการของ ธปท.ที่จะนำมาใช้ในระยะข้างหน้า

ขณะที่ Open Data มีกลไกที่ผู้ใช้บริการสามารถใช้สิทธิส่งข้อมูล เช่น บัญชีเงินฝาก การชำระและรับชำระเงิน การใช้จ่ายค่าน้ำค่าไฟ ข้อมูลภาษี และ Open Competition จะมีเรื่องของการจัดตั้งธนาคารไร้สาขา (Virtual Bank) ซึ่งจะปิดรับสมัครวันที่ 19 ก.ย.นี้ และจะประกาศรายชื่อผู้ได้รับคัดเลือกในเดือน มิ.ย. 2568 และจะเปิดดำเนินการภายในปี 2569

“การเปิด Virtual Bank ไม่ใช่แค่ขอให้มี หากเป็นสถาบันการเงินแบบเดิมไม่มีของใหม่มาเติม ก็ไม่สามารถช่วยตอบโจทย์ของประเทศได้ ดังนั้น การ Open ก็จะต้องดูว่า Open กับใครด้วย”