ประธาน ตลท. ชู 3 เสาหลัก ฟื้นความเชื่อมั่น-ยกระดับตลาดทุนไทย

กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์
กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์

“กิติพงศ์” ประธานตลาดหลักทรัพย์ฯ ชู 3 เสาหลัก ฟื้นความเชื่อมั่นตลาดทุนไทย-เพิ่มประสิทธิภาพ ส่งเสริมความยั่งยืน มุ่งใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี พัฒนาธุรกิจครอบครัวให้เติบโต

วันที่ 28 สิงหาคม 2567 ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวปาฐกถาพิเศษในงาน Thailand Focus 204 ภายใต้หัวข้อ “พลิกฟื้นตลาดทุน เพิ่มประสิทธิภาพและความเชื่อมั่น” ว่าโลกปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ความท้าทายรอบด้าน

ขณะที่เศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ภูมิรัฐศาสตร์ และความต้องการของผู้ลงทุนที่เปลี่ยนแปลงไป ความสามารถในการการปรับตัวจึงไม่ใช่เพียงความได้เปรียบแต่เป็นความจำเป็น ตลาดทุนไทยได้พิสูจน์ความสามารถในการยืดหยุ่นท่ามกลางพายุระบบการเงินโลก ความไม่แน่นอนทางการเมือง และภาวะโรคระบาด

ทั้งนี้ได้วางบทบาทของตลาดทุนไทยในการเป็นผู้นำด้านนวัตกรรม และการเติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยยุทธศาสตร์ 3 เสาหลัก ได้แก่ 1.ความน่าเชื่อถือและความเชื่อมั่น 2.การเพิ่มขีดความสามารถของตลาดทุนไทย และ 3.การส่งเสริมความยั่งยืน เพื่อมุ่งหน้าสู่การเป็นตลาดทุนสำหรับทุกคนเพื่อมุ่งสู่อนาคต

เสาหลักที่ 1 ความน่าเชื่อถือและความเชื่อมั่น ในฐานะที่มีประสบการณ์ในแวดวงกฎหมาย เป็นทนายมากว่า 43 ปี และเป็นกรรมการด้านกฎหมายในบริษัทจดทะเบียน พบว่าการกำกับดูแลและธรรมาภิบาลเป็นหัวใจสำคัญสำหรับความไว้วางใจและความเชื่อมั่น เวลาและประสิทธิภาพเป็นกุญแจสำหรับความไว้วางใจ การเดินหน้าส่งเสริมความเชื่อมั่นและไว้วางใจผ่านการกระชับความร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ

การแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงานกำกับดูแลเพื่อทำให้เกิดการบังคับใช้อย่างทันเวลา เสริมสร้างกรอบกฎหมาย การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี และ AI เช่น การใช้ AI ในการตรวจสอบความผิดปกติของคำสั่งซื้อขายหรือกิจกรรมที่ไม่ปกติ การเพิ่มความโปร่งใสของข้อมูล โดยล่าสุดตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้เปิดเผยข้อมูลโปรแกรมเทรดดิ้ง และข้อมูล Short Selling รวมทั้งส่งเสริมระบบนิเวศตลาดทุนให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วม ทั้งผู้ลงทุนรายย่อย และผู้ลงทุนสถาบันจากทั้งในและต่างประเทศ

ADVERTISMENT

เสาหลักที่ 2 การเพิ่มขีดความสามารถของตลาดทุนไทย ตลาดทุนโลกที่มีความเชื่อมต่อกันไร้ขอบเขต การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของตลาดทุนไทยให้เป็นที่สนใจสำหรับผู้ลงทุนในและต่างประเทศ การส่งเสริมการใช้ตลาดทุนในภาคที่มีการเติบโตสูง โดยสนับสนุนอุตสาหกรรมอนาคตให้เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย ขณะที่มีบริษัทจดทะเบียนที่อยู่ในธุรกิจดิจิทัล คอมเมิร์ซ การแพทย์สมัยใหม่ การเกษตร และเทคโนโลยีอาหาร เป็นต้น

การส่งเสริมพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรมและความร่วมมือระดับโลก โดยสนับสนุนให้บริษัทขนาดใหญ่เข้าลงทุนและในธุรกิจสตาร์ตอัพให้เติบโตเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ mai และ SET รวมถึงการอัพเกรดโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยี เช่น การพัฒนาระบบซื้อขายหลักทรัพย์โดยร่วมมือกับ Nasdaq เพื่อให้สามารถรองรับมูลค่าซื้อขายจำนวนมากเป็นไปตามมาตรฐานสากล และรองรับผลิตภัณฑ์ลงทุนจากทั่วโลกอย่างไร้รอยต่อ

ADVERTISMENT

เสาหลักที่ 3 การส่งเสริมความยั่งยืน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยส่งเสริมการเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับบริษัทจดทะเบียน จะเห็นได้ว่าปีที่แล้ว มีบริษัทจดทะเบียนรายงานปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจำนวน 445 บริษัท หรือ 50% ของบริษัททั้งหมด

ขณะที่มีการรายงานปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ลดลง 6.1% รวมถึงการส่งเสริมบรรษัทภิบาล ผู้ถือหุ้น สอดคล้องกับกองทุน TESG ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อดึงดูดการลงทุนผ่านแรงจูงใจทางภาษีสำหรับการลงทุนในบริษัทที่มี ESG ระดับสูง

นอกจากนี้ การฟื้นคืนกองทุนวายุภักษ์ที่ให้ผลตอบแทนน่าสนใจ ขณะที่ยังสามารถสนับสนุนการพัฒนาตลาดหุ้นไทย ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังได้เสนอเครื่องมือที่ดีขึ้นสำหรับให้ผู้ลงทุนประเมินบริษัทจดทะเบียนได้ และยังร่วมมือกับ FTSE RUSSELL เข้าประเมิน ESG บริษัทจดทะเบียนไทย รวมทั้งการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ESG ใหม่ และการสนับสนุนธุรกิจครอบครัว

“ทั้งนี้ 67% ของบริษัทจดทะเบียนเป็นธุรกิจครอบครัว ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้พัฒนาโครงการเพื่อสนับสนุนการพัฒนาธุรกิจครอบครัวให้สามารถเติบโตและส่งต่อธุรกิจสู่รุ่นลูกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนเชื่อมโยงตลาดทุนกับธุรกิจครอบครัว แสดงให้เห็นว่าตลาดทุนจะสามารถเพิ่มศักยภาพธุรกิจครอบครัวได้ ทั้งการบริหารจัดการอย่างมืออาชีพ และการเติบโตอย่างยั่งยืน เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นของเศรษฐกิจไทย”