เลขาฯ ก.ล.ต.-ผู้จัดการตลาดหุ้น ร่วมเสวนา “ตลาดทุนไทยปรับ-รับโลกเปลี่ยน”

วงเสวนา “ตลาดทุนไทยปรับ-รับโลกเปลี่ยน : How Thailand’s Capital Market Can Adapt to the Changing World” ภายในงาน Thailand Focus 2024 ได้อธิบายถึงการปรับตัวของประเทศไทยในโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลง ซึ่งการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะเห็นได้จากความผิดปกติในตลาดทุนในปัจจุบัน

ซึ่ง เลขาธิการ ก.ล.ต. ผู้จัดการตลาดหุ้นไทย และกรรมการผู้จัดการสมาคมอุตสาหกรรมหลักทรัพย์และตลาดการเงินเอเชีย ได้แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยจะสามารถก้าวข้ามวิกฤตการณ์ดังกล่าวได้อย่างไร และจะสามารถเพิ่มความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจได้อย่างไรเมื่อการสร้างความมั่นใจและความเชื่อมั่นในตลาดทุนไทยยังเป็นเรื่องที่ท้าทาย

กางมาตรการ 4 กลุ่ม เพิ่มกลไกสร้างความเชื่อมั่น

นางพรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการ คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวในงาน Thailand Focus 2024 ภายใต้แนวคิด “Adapting to a Changing World” ในวงเสวนาหัวข้อ “ตลาดทุนไทยปรับ-รับโลกเปลี่ยน : How Thailand’s Capital Market Can Adapt to the Changing World” ว่า เป้าหมายของ ก.ล.ต. ก็คือทำให้เกิดความเชื่อมั่น และไว้วางใจในความโปร่งใสและยุติธรรมในตลาดทุนไทย ซึ่งมีฐานทางด้านพัฒนาการของเศรษฐกิจอย่างเข้มแข็ง รวมทั้งการกำกับดูแลที่มีมาตรฐานเทียบเท่ากับนานาชาติ

“เรามีเป้าหมายที่จะป้องกันพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ที่จะเกิดขึ้นในตลาดทุนไทยด้วยมาตรการ เช่น เพิ่มการกำกับดูแลบริษัทจดทะเบียน เพิ่มผู้ลงทุนมืออาชีพรายย่อยในตลาดทุนเพื่อกระตุ้นตลาด รวมทั้งมีมาตรการเพื่อขจัดปัญหาที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ กันในตลาดของเรา อย่างเช่น ให้ผู้ลงทุนสามารถรายงานข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทที่กำลังมีพฤติกรรมเสี่ยง หรือตกอยู่ในความเสี่ยง เพื่อให้ผู้กำกับดูแลสามารถหามาตรการรองรับได้”

นอกจากนี้ ยังได้นำเอาเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาใช้ในการป้องกัน อย่างเช่น ระบบการวิเคราะห์เพื่อหาความผิดปกติ รวมทั้งร่วมมือกับตลาดหลักทรัพย์ฯให้สามารถป้องปรามได้รวดเร็วมากขึ้น โดยในกฎหมาย ทาง ก.ล.ต. ก็พยายามเสนอมาตรการที่จะเร่งกระบวนการการดำเนินคดีเพื่อลงโทษผู้กระทำผิด โดยการเสนอกฎหมายหลายอย่าง เช่น การลดขั้นตอนที่ซ้ำซ้อน ที่จะทำให้ ก.ล.ต. และหน่วยงานกำกับดูแลตลาดทุนอื่น ๆ มีอำนาจในการดำเนินคดี โดยที่ไม่ต้องรอกระบวนการของตำรวจ รวมทั้งการคุ้มครองพยานที่จะให้ข้อมูลการกระทำผิดให้มากขึ้น

ทางด้านการใช้เทคโนโลยีนั้น ก.ล.ต. กำลังร่วมมือกับตลาดหลักทรัพย์ฯ ธนาคารแห่งประเทศไทย และหน่วยงานกำกับดูแลและบังคับใช้กฎหมายอื่น ๆ เพื่อให้มีแพลตฟอร์มเดียวกัน ซึ่งสามารถลดความซ้ำซ้อนและความล่าช้าในการดำเนินได้

ADVERTISMENT

และ ก.ล.ต. มุ่งหวังที่จะเห็นความยุติธรรมและความเป็นระเบียบเรียบร้อยในตลาดทุน ซึ่งทำให้ออกนโยบายดูแลชอร์ตเซล รวมทั้งกำหนดแนวทางการสอบสวนความผิดปกติต่าง ๆ ในการซื้อขาย เพื่อเพิ่มกลไกสร้างความเชื่อมั่นในการซื้อขายโดยรวม โดยมีมาตรการ 4 กลุ่ม ได้แก่การดำเนินการให้สามารถรู้ตัวตนลูกค้าและตรวจสอบได้ การทบทวนพฤติกรรมไม่เหมาะสม เช่น เพิ่มลักษณะคำสั่งที่ไม่เหมาะสมและให้มีมาตรการ Minimum Order Resting Time เพื่อป้องกันการใส่ถอนคำสั่งซื้อขายที่ถี่เกินไป

การควบคุมความผันผวนของราคาหลักทรัพย์ เช่น ใช้ Dynamic Price Band และการซื้อขายแบบ Auction สำหรับหุ้นที่อยู่ในมาตรการกำกับการซื้อขาย และการทบทวนเกณฑ์การดำเนินการกับลูกค้าที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม รวมทั้งการเปิดเผยรายชื่อผู้ลงทุนที่ส่งคำสั่งไม่เหมาะสมให้บริษัทหลักทรัพย์ทุกแห่งทราบ

ADVERTISMENT

ในฐานะผู้กำกับดูแล จำต้องทำให้เกิดความสมดุลระหว่างสภาพคล่องและความโปร่งใสยุติธรรมในตลาด เนื่องจากผู้ลงทุนที่หลากหลายทั้งในไทยและต่างชาติ นโยบายที่ออกมาอาจไม่ได้ทำให้ทุกฝ่ายได้ประโยชน์เหมือนกันหมด แต่จะทำให้ตลาดทุนไทยก้าวหน้าไปอย่างยั่งยืน ไม่ได้มีเป้าหมายที่จะเพิ่มสภาพคล่องหรือเม็ดเงินในตลาดแต่เพียงอย่างเดียว

ขณะนี้ ก.ล.ต. กำลังร่วมมือกับกระทรวงการคลังภายใต้แนวคิดเปลี่ยนเงินออมไปเป็นการลงทุน ขั้นตอนแรกก็คือ การกระตุ้นตลาดพันธบัตรโดยการใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ อย่างเช่น เว็บพอร์ทัลที่จะทำให้การข้อมูลหรือช่องทางการลงทุน ทั้งตลาดแรกและตลาดรอง มาตรการที่จะออกมา เช่น สามารถเปิดบัญชีกระตุ้นการซื้อขายให้รวดเร็วขึ้น และทำให้กระบวนการเป็นมาตรการเดียวกัน หรือ Single form ทั้งในกลุ่มผู้กำกับดูแลและผู้เล่นในตลาด มาตรการต่อไปจะให้พวกมืออาชีพเข้าสู่เซ็กเมนต์รายย่อยมากขึ้น

และทาง ก.ล.ต. กำลังหารือกับกระทรวงการคลังเพื่อให้เพิ่มมาตรการจูงใจด้านภาษีให้กับผู้ลงทุน และมาตรการเพิ่มสภาพคล่องอื่น ๆ เช่น ขยายกองทุนวายุภักษ์ให้ขายกองทุนรวมมูลค่า 1-1.5 แสนล้านบาท ซึ่งสามารถจะหนุนตลาดได้ ในขณะที่รอให้เศรษฐกิจฟื้นตัวจากมาตรการของรัฐบาลในช่วงต่อไป

ให้ความสำคัญบรรษัทภิบาลเพิ่มขึ้น

ดร.ภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า ปีที่ผ่านมาเป็นปีที่ท้าทายสำหรับตลาดทุนไทย เพราะมีทั้งการเปลี่ยนแปลงด้านนโยบาย ความไม่มั่นคงทางการเมือง และการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจทั่วโลก การที่ประเทศไทยจะสามารถสร้างสมดุลได้นั้น จะต้องมองถึงมาตรฐานระหว่างประเทศเป็นสำคัญ กล่าวคือ ในปัจจุบันประเทศไทยให้ความสำคัญแก่บรรษัทภิบาลเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามทุกมาตรการการกำกับดูแลที่บังคับใช้จะต้องได้รับการประเมินผลติดตาม

ทั้งนี้หากพิจารณาแล้วจะพบว่าอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ (Price to earning ratio) ของตลาดทุนไทยครอบคลุมหลายอุตสาหกรรมในปีที่ผ่านมาต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในรอบ 5 ปี ดังนั้นการเสริมสร้างให้ตลาดทุนไทยเติบโตในสภาวการณ์เปลี่ยนแปลงนี้ ความมั่นคงของรัฐบาลและนโยบายการลงทุนจะเป็นปัจจัยสำคัญ

โดยกลุ่มธุรกิจสุขภาพและการท่องเที่ยวเป็นจุดแข็งของประเทศไทย และตลาดทุนไทยเริ่มมีผลิตภัณฑ์ด้านการเงินการลงทุนเพิ่มขึ้นมาก อันจะเห็นได้จากการที่มีบริษัทมากกว่า 160 บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นบริษัทที่ลงทุนในเศรษฐกิจใหม่ และมีความหลากหลายในขนาด ทั้งขนาดใหญ่ กลาง และสตาร์ตอัพ นอกจากนี้ยังมีถึง 14 บริษัทได้รับการจัดระดับให้อยู่ในระดับ Gold Class S&P Global 2024 Sustainability Yearbook

ชี้ความไร้เสถียรภาพรัฐบาล ไม่ควรนำไปสู่ความไร้เสถียรภาพทางนโยบาย

Mr. Lyndon Chao, Managing Director, Head of Equities and Post Trade สมาคมอุตสาหกรรมหลักทรัพย์และตลาดการเงินเอเชีย กล่าวว่า ตลาดทุนไทยมีความสามารถในการปรับตัว แม้ว่าจะถูกกระทบอย่างหนักจากการแพร่ระบาดโควิด-19 และมีการเปลี่ยนแปลงในห่วงโซ่อุปทานเช่นเดียวกัน ซึ่งการเปลี่ยนแปลงในตลาดที่เป็นเสมือนแรงปะทะแก่ตลาดทุนไทยมีหลายปัจจัย

เช่น สภาพคล่องที่ลดลง สถานการณ์เครดิต ราคาหุ้นตกต่ำ การเปลี่ยนแปลงรัฐบาล และการเมือง แต่อย่างไรก็ดี สำหรับผู้ลงทุนแล้ว ความไร้เสถียรภาพของรัฐบาลไม่ควรนำไปสู่ความไร้เสถียรภาพทางนโยบาย หากให้สรุปสถานการณ์การเงินประเทศไทยแล้ว สามารถกล่าวได้ว่า ประชาชนมีเงินในกระเป๋าน้อยลง และผู้ลงทุนมีความเชื่อมั่นในบรรษัทภิบาลลดลง

แต่อย่างไรก็ดี ภาพรวมตลาดทุนของไทยยังมีส่วนแบ่งในตลาดทุนอาเซียนถึง 37% และยังมีโอกาสที่จะเติบโตขึ้นในช่วงสิ้นปี ซึ่งปรากฏการณ์นี้อาจเป็นเพราะตลาดทุนจีนมีสภาพคล่องลดลงอีกด้วย ดังนั้นการเรียนรู้จากกรณีศึกษาประเทศอื่น ๆ เช่น ประเทศญี่ปุ่นที่ JPX แนะนำให้บริษัทต่าง ๆ สร้างธรรมาภิบาลให้มากขึ้น เพื่อเพิ่มพูนความเชื่อใจระหว่างบริษัทและผู้ลงทุน

นอกจากนี้ โครงการปฏิรูปเงินบำนาญที่เหมาะสมจะดึงดูดให้ประชาชนลงทุนมากขึ้น เพราะมีตัวเลือกการลงทุนที่หลากหลาย และมีแรงจูงใจทางภาษี อย่างไรก็ตามมาตรการต่าง ๆ ที่หน่วยงานกำกับดูแลการลงทุนเพิ่มเติมเข้ามาอาจส่งผลให้สภาพคล่องในตลาดทุนลดลง เช่น กรณีประเทศจีน และเกาหลีใต้ ดังนั้นการนำมาตรการกำกับดูแลใดมาใช้ก็ควรคำนึงถึงผลกระทบที่ตามมาด้วยเช่นกัน