ทีทีบี เผยสินเชื่อรายย่อยโตต่ำเป้า รับสินเชื่อรถยนต์-บ้านติดลบ เหตุเศรษฐกิจฟื้นตัวช้า-กระทบยอดอนุมัติตึงตัว ชี้ห่วงหนี้เสียรถ เร่งปรับปรุงโครงสร้างหนี้สกัดเอ็นพีแอล จากเดิม 5-6 พันรายต่อเดือน เพิ่มเป็น 1-1.2 หมื่นราย
วันที่ 28 สิงหาคม 2567 นายฐากร ปิยะพันธ์ ผู้จัดการใหญ่ ธนาคารทหารไทยธนชาต หรือ ทีทีบี กล่าวว่า ภาพรวมสินเชื่อรายย่อยในปีนี้คาดว่าจะเติบโตต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยเฉพาะสินเชื่อรถยนต์และที่อยู่อาศัยคาดว่าจะหดตัวติดลบ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากยอดขายรถยนต์ที่ปรับลดลง และยอดจดจำนองที่อยู่อาศัยที่ลดลง
รวมถึงการปล่อยสินเชื่อหรือการอนุมัติสินเชื่อ (Approval) ที่ตึงตัวมากขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากลูกค้ามีภาระหนี้ต่อรายได้ไม่เพียงพอ ทำให้ไม่ผ่านการอนุมัติ แม้ว่าธนาคารไม่ได้มีการปรับเกณฑ์หรือเงื่อนไขการอนุมัติสินเชื่อ
“เป้าหมายสินเชื่ออาจจะไม่ถึงเป้า เราจึงไม่ได้เน้นเติบโตมากนัก แม้ว่าสินเชื่อไม่มีหลักประกันยังโตได้ แต่โตในระดับ Single Digit Low จึงไม่ช่วยชดเชยพอร์ตหลักได้ เพราะเริ่มเห็นสัญญาณลูกค้าสินเชื่อบ้านรายได้กลุ่ม 30,000-50,000 บาทเริ่มมีความเปราะบางมากขึ้น ชำระหนี้ไม่ไหว จากเดิมที่เห็นรายได้ต่ำกว่า 30,000 บาทต่อเดือน ดังนั้น เราจึงเน้นลูกค้าใกล้ชิด และปรับโครงสร้างหนี้“
ขณะที่แนวโน้มหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) มีทิศทางขยับเพิ่มขึ้น แต่บางกลุ่มค่อนข้างทรงตัว เช่น สินเชื่อที่อยู่อาศัย ปัจจุบันหนี้เสียอยู่ที่ระดับ 2% คาดว่าภายในสิ้นปีนี้น่าจะขยับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยราว 0.10-0.20%
ส่วนกลุ่มที่ธนาคารเป็นห่วงจะเป็นสินเชื่อรถยนต์ ที่ยังได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ โดยปัจจุบันมีหนี้เสียอยู่ที่ราว 1% ดังนั้น หากธนาคารสามารถปรับโครงสร้างได้ดี จะช่วยพยุงไม่ให้เกิดเป็นหนี้เสียเพิ่มขึ้น ซึ่งจะเห็นว่าธนาคารได้เข้าไปปรับโครงสร้างหนี้เชิงป้องกัน หรือก่อนเป็นเอ็นพีแอล (Debt restructuring : DR) เพิ่มขึ้นจากต้นปีเฉลี่ยอยู่ที่ 5,000-6,000 รายต่อเดือน ปัจจุบันเพิ่มขึ้นเป็น 10,000-12,000 รายต่อเดือน
ส่วนสินเชื่อที่อยู่อาศัยทรงตัวอยู่ราว 2,000-3,000 รายต่อเดือน ซึ่งเป็นกลุ่มที่ยังไม่เคยทำ DR มาก่อน จึงค่อนข้างน้อย เพราะส่วนใหญ่สินเชื่อที่อยู่อาศัยธนาคารให้ความช่วยเหลืออย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงการระบาดของโควิด-19
“หากเราปรับโครงสร้างได้ดีจะช่วยชะลอหรือพยุงไม่ให้ลูกค้าไหลเป็นหนี้เสียมากขึ้น และยิ่งเราทำ DR มากขึ้นเท่าไรลูกค้าก็มีโอกาสรอดสูง แต่ก็มีลูกค้าบางส่วนที่ยังไม่อยากเข้ามาปรับโครงสร้าง DR ซึ่งส่วนหนึ่งลูกค้าอาจกังวลเรื่องประวัติ”