กองทุนวายุภักษ์ หนึ่ง เปิดให้รายย่อยจองซื้อ 16-20 ก.ย. ขั้นต่ำ 1 หมื่นบาท จัดสรรแบบ Small Lot First ประกาศผล 25 ก.ย. เคาะจ่ายปันผล 3-9% ต่อปี คงที่ตลอด 10 ปี หรือราว 0.30-0.90 บาท/หน่วย/ปี “ชวินดา” เผยเริ่มลงทุน 1 ต.ค. เน้นหุ้นไทย เชื่อตลาดหุ้นอยู่ในระดับน่าลงทุน เคาะระฆังเข้าเทรด 7 ต.ค. 67
วันที่ 9 กันยายน 2567 นายธนโชติ รุ่งสิทธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) ในฐานะบริษัทจัดการกองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง เปิดเผยว่า กองทุนรวมวายุภักษ์หนึ่ง จะเปิดเสนอขายหน่วยลงทุนประเภท ก. แก่ผู้ลงทุนทั่วไป ที่ราคาเสนอขาย 10 บาทต่อหน่วย รวมมูลค่าประมาณ 100,000-150,000 ล้านบาท โดยแบ่งผู้ลงทุนเป็น 2 กลุ่มหลักคือ
กลุ่มที่ 1 ผู้ลงทุนรายย่อยในประเทศ จะต้องเป็นบุคคลธรรมดาสัญชาติไทยที่มีถิ่นที่อยู่ในไทยและมีอายุไม่น้อยกว่า 20 ปีบริบูรณ์ เป็นนิติบุคคลที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย หรือกองทุนส่วนบุคคลของผู้ลงทุนรายย่อยดังกล่าว เบื้องต้นได้กำหนดสัดส่วนการเสนอขายแก่ผู้ลงทุนกลุ่มนี้ 30,000-50,000 ล้านบาท
กลุ่มที่ 2 ผู้ลงทุนสถาบันและนิติบุคคลเฉพาะกลุ่ม อาทิ ธนาคารพาณิชย์, บริษัทประกันชีวิตและบริษัทประกันวินาศภัย, กองทุนประกันสังคม, กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ, กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ อีกประมาณ 100,000-120,000 ล้านบาท
รายย่อยจองซื้อขั้นต่ำ 1 หมื่น 16-20 ก.ย.
โดยมีระยะเวลาลงทุนของโครงการเบื้องต้น 10 ปี จะเปิดให้ผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นผู้ลงทุนรายย่อยจองซื้อวันที่ 16-20 กันยายน 2567 จองซื้อขั้นต่ำ 1,000 หน่วย หรือ 10,000 บาท และเพิ่มขึ้นครั้งละ 100 หน่วย หรือ 1,000 บาท โดยจัดสรรด้วยวิธี Small Lot First หรือผู้จองซื้อที่จำนวนขั้นต่ำได้รับจัดสรรก่อน ทำให้มีโอกาสในการได้รับจัดสรรหน่วยลงทุนเท่ากันในการจองซื้อ แต่ผู้ลงทุนจะต้องชำระเงินค่าจองซื้อหน่วยลงทุนครั้งเดียวเต็มจำนวนที่จองซื้อ หากไม่ได้รับจัดสรรครบจำนวน จะได้รับเงินคืนภายใน 7 วันทำการหลังสิ้นสุดการจองซื้อของผู้ลงทุนทุกประเภท หรือไม่เกินวันที่ 8 ตุลาคม 2567 ทั้งนี้จะประกาศผลการได้รับจัดสรรในวันที่ 25 กันยายน 2567 ผ่านทาง Settrade.com
สำหรับช่องทางการจองซื้อของผู้ลงทุนรายย่อย มีทั้งผ่านโทรศัพท์ สำนักงานสาขา และช่องทางออนไลน์ผ่าน 8 สถาบันการเงิน ประกอบด้วย
1.บลจ.กรุงไทย โทร.0-2686-6100 กด 9 และสำนักงานสาขา
2.บลจ.เอ็มเอฟซี โทร.0-2649-2000 กด 0 สำนักงานสาขา และ www.mfcfund.com
3.ธนาคารกรุงเทพ โทร.1333 สำนักงานสาขา และ Mobile Banking
4.ธนาคารออมสิน โทร.1115 กด 5 และแอปพลิเคชั่น MyMo
5.ธนาคารกสิกรไทย โทร.0-2888-8888 ต่อ 869 สำนักงานสาขา และ www.kasikornbank.com/kmyinvest
6.ธนาคารกรุงศรี โทร.1572 สำนักงานสาขา และแอปพลิเคชั่น KMA
7.ธนาคารกรุงไทย โทร.0-2111-1111 สำนักงานสาขา และ www.moneyconncet.krungthai.com หรือแอปพลิเคชั่น Krungthai NEXT
8.ธนาคารไทยพาณิชย์ โทร.0-2777-6784 สำนักงานสาขา และแอปพลิเคชั่น SCB EASY
ทั้งนี้หน่วยลงทุนในครั้งนี้จะอยู่ในรูปแบบไร้ใบหุ้น (Scripless) โดยผู้ลงทุนสามารถเลือกได้ 2 ทางเลือกคือ 1.รับหน่วยลงทุนเข้าบัญชีหลักทรัพย์ของตนเอง หรือ 2.ฝากหน่วยลงทุนไว้กับนายทะเบียน (บัญชี 600) แต่กรณีนี้จะไม่สามารถเข้าซื้อขายหน่วยลงทุนได้ทันวันแรกที่หน่วยลงทุนประเภท ก. เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย
และหากผู้ลงทุนที่ฝากหน่วยลงทุนเข้าบัญชี 600 ต้องการซื้อหรือขายหน่วยลงทุนในตลาดหุ้นไทย ผู้ลงทุนจำเป็นต้องเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นกับบริษัทหลักทรัพย์ก่อน และโอนหน่วยลงทุนจากบัญชี 600 ตามขั้นตอนและวิธีการที่กำหนดเข้าบัญชีหลักทรัพย์ของตนเอง เพื่อซื้อหรือขายในตลาดหุ้นต่อไป
โดยหน่วยลงทุนประเภท ก. หลังจากเพิ่มทุนเสร็จแล้ว จะมีการเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยในวันที่ 7 ตุลาคม 2567 โดยผู้ลงทุน ผู้สนใจลงทุน และผู้ถือหน่วยลงทุน สามารถซื้อขายหน่วยลงทุนประเภท ก. ผ่านตลาดหุ้นไทยได้ทุกวันทำการ และสามารถโอนหน่วยลงทุนประเภท ก.ได้อย่างเสรี โดยราคาหน่วยลงทุนประเภท ก. ในตลาดรองจะเป็นไปตามกลไกของราคาตลาด ซึ่งอาจแตกต่างจากมูลค่าที่ตราไว้ ราคาเสนอขาย หรือมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของหน่วยลงทุนประเภท ก. โดยมีธนาคารกรุงไทย (KTB) เป็นผู้ดูแลสภาพคล่อง
“เชื่อว่าการเสนอขายหน่วยลงทุนประเภท ก. ของกองทุนวายุภักษ์ หนี่ง จะได้รับความสนใจจากผู้ลงทุนทั่วไป ที่ต้องการได้รับผลตอบแทนมั่นคงในระยะยาว ในรูปแบบเงินปันผลตามเงื่อนไขที่กำหนดจากหุ้นที่เข้าลงทุน” นายธนโชติกล่าว
เริ่มลงทุน 1 ต.ค. เน้นหุ้นไทย
นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะบริษัทจัดการกองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง กล่าวว่า คาดว่ากองทุนจะเริ่มลงทุนในวันที่ 1 ตุลาคม 2567 โดยมีนโยบายการลงทุนในหุ้นไทยเป็นหลัก แต่เนื่องจากโครงสร้างกองทุน เป็นกองประเภทยืดหยุ่น สามารถจะลงทุนในหุ้นหรือตราสารหนี้ก็ได้ตามจังหวะของตลาด
เพราะฉะนั้นลักษณะการบริหารมีทั้งแบบเชิงรุก (Active Investment) และแบบเชิงรับ (Passive Investment) ซึ่งส่วนใหญ่จะเน้นลงทุนในหุ้นบริษัทที่มีปัจจัยพื้นฐานดี มีความมั่นคงในระยะยาว ดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน และมีการกำกับดูแลกิจการที่ดี อาทิ บริษัทที่อยู่ใน SET100 ที่ได้รับคะแนน SET ESG Ratings ระดับ A ขึ้นไป หรือบริษัทนอก SET100 ที่ได้รับคะแนน SET ESG Ratings ระดับ AA ขึ้นไป เป็นต้น
นอกจากนี้อาจพิจารณาลงทุนในทรัพย์สินสภาพคล่อง ในช่วงเกิดสภาวะตลาดมีความผันผวน เช่น พันธบัตรรัฐบาล, ตราสารหนี้ระยะสั้น, เงินฝาก, ตราสารเทียบเท่าเงินฝาก, กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน, กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ และทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ที่มีอัตราผลตอบแทนดีหรือมีแนวโน้มเติบโตสูง มีสภาพคล่องและมีการกำกับดูแลกิจการที่ดี
“จะสำรองเงินสดไว้หรือไม่นั้น คงต้องดูสถานการณ์และจังหวะในการลงทุนให้เหมาะสม ดังนั้นลักษณะการลงทุนคงเป็นการทยอยลงทุนตามจังหวะเวลาที่เหมาะสม เพราะเม็ดเงิน 1.5 แสนล้านบาท เป็นเงินก้อนใหญ่ ถ้าลงทุนทีเดียวคงเป็นไปไม่ได้ แต่คงพยายามลงทุนในหุ้นเป็นหลักก่อน แต่เมื่อจำเป็นต้องจ่ายเงินปันผลต้องมีสภาพคล่องปล่อยออกมาเพื่อจ่ายให้นักลงทุน
ทั้งนี้เชื่อว่านักลงทุนที่สนใจอยากลงทุนกองทุนนี้ มาจากเงินออมส่วนหนึ่ง เช่น คนเกษียณ หรือคนที่มีเหลือมาออม โดยคาดหวังสภาพคล่องที่จะได้คืนระหว่างปี เพราะจ่ายเงินปันผลถึง 2 ครั้ง (ปิดงบฯกลางปีและปิดงบฯปลายปี) เหมือนคนที่ลงทุนพันธบัตรรัฐบาลคาดหวังผลตอบแทน ซึ่งกองทุนให้ผลตอบแทนดีกว่า
เชื่อตลาดหุ้นอยู่ในระดับน่าลงทุน
ทั้งนี้ประเมินภาพตลาดหุ้นไทยในเวลานี้ถือว่า P/E ไม่สูงเกินไป ค่อนข้างอยู่ในระดับที่ลงทุนได้ และจากดัชนี SET ที่วิ่งขึ้นมาในระดับนี้ เชื่อว่าน่าจะรักษาการเคลื่อนไหวไปได้ต่อเนื่อง โดยผลตอบแทนตลาดและเป้าดัชนีปีนี้น่าจะดีกว่าปีที่แล้ว ด้วยแรงส่งภาพเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง อาจจะกังวลปัจจัยเสี่ยงที่มองไม่เห็น เช่น อัตราดอกเบี้ยเฟด แต่เชื่อมั่นจากการที่ประเทศเริ่มมีปัจจัยบวก ทั้งการฟื้นความเชื่อมั่นตลาดทุนจากภาครัฐ และความชัดเจนนโยบายของรัฐบาล ถ้าดำเนินนโยบายจากนี้ไปจนถึงสิ้นปีได้ตามแผนก็น่าจะหนุนดัชนี SET ต่อเนื่อง
“นโยบายของรัฐบาล โดยเฉพาะการปรับโครงสร้างหนี้ ถ้าทำได้จริง ก็ถือว่ากำลังในการซื้อของผู้บริโภคจะดีขึ้น เพราะจุดอ่อนแอของประเทศคือ กำลังซื้อยังไม่กลับคืนมา ฉะนั้นถ้ากำลังซื้อกลับมาได้ ก็จะเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจในภาพใหญ่”
รับปันผล 3-9% ต่อปี คงที่ตลอด 10 ปี
นายวราห์ สุจริตกุล ประธานกรรมการ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันซ่า จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง กล่าวว่า สำหรับผลตอบแทนที่นักลงทุนจะได้รับจากการลงทุนแต่ละปี กำหนดจ่ายให้ผู้ถือหน่วยในรูปแบบเงินปันผลตามผลตอบแทนที่เกิดขึ้นจริงของกองทุน ในอัตราไม่ต่ำกว่า 3% ต่อปี แต่ไม่เกินกว่า 9% ต่อปี คงที่ตลอด 10 ปี โดยผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ก. จะได้รับเงินปันผลอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง คำนวณจากมูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) ของหน่วยลงทุนประเภท ก. ที่ 10 บาทต่อหน่วย หรือจะได้รับเงินปันผลต่อปีประมาณ 0.30-0.90 บาท/หน่วย ทั้งนี้ต้องจ่ายภาษีเงินปันผลในอัตรา 10% ตามกฎหมายกำหนด
ทั้งนี้ผลตอบแทนขั้นต่ำที่ 3% ต่อปี ประเมินจากผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล 10 ปี ที่ยีลด์อยู่ที่ 2.7% และผลตอบแทน 9% ต่อปี มองจากสินทรัพย์ความเสี่ยงต่ำในตลาด เช่น กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน กองทุนอสังหาริมทรัพย์บางกอง และรีทบางกอง ให้ยีลด์ที่ค่อนข้างมั่นคงระดับ 9%
“เราดีไซน์ผลตอบแทนให้อยู่ในกรอบ 3-9% ทุกปี สมมุติไปซื้อหน่วยลงทุนในตลาดหุ้นไทยหลังเข้าซื้อขายไปแล้ว ที่ราคา 9 บาท ก็ยังได้รับปันผล 0.30-0.90 บาท/หน่วย โดยผลตอบแทนจะเป็นปีต่อปี จบปีเริ่มใหม่ ในส่วนผลตอบแทนส่วนเกินหรือขาดทุนจะกระทบต่อหน่วยลงทุน ข.”
ดังนั้นผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ก. มีสิทธิได้รับคืนเงินลงทุนตามแนวทางการชำระคืนเงินลงทุนแบบ Waterfall ซึ่งผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ก. จะได้รับคืนเงินลงทุนก่อนผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ข. ที่มูลค่าเงินลงทุนเริ่มต้นที่ 10 บาทต่อหน่วย อย่างไรก็ตาม กลไกดังกล่าวไม่ใช่การรับประกันหรือค้ำประกันว่า ผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ก. จะได้รับเงินลงทุนเท่ากับมูลค่าเงินลงทุนเริ่มต้น โดยในกรณีที่มูลค่าทรัพย์สินสุทธิรวม (NAV) รวมของกองทุนวันครบกำหนดระยะเวลาการลงทุนเบื้องต้น 10 ปี ต่ำกว่ามูลค่าเงินลงทุนเริ่มต้นของหน่วยลงทุนประเภท ก. ผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ก. อาจได้รับคืนเงินลงทุนน้อยกว่ามูลค่าเงินลงทุนเริ่มต้นได้
แต่ทั้งนี้เมื่อครบระยะเวลาการลงทุนเบื้องต้น 10 ปี หากกองทุนจะระดมทุนต่อ จะให้สิทธิผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ก. ขยายระยะเวลาการลงทุน หรือขายคืนหน่วยลงทุน (Redeem) ตามแนวทางที่กำหนด อย่างไรก็ตาม หากกองทุนไม่ประสงค์จะระดมทุนต่อ บริษัทจัดการจะรับซื้อคืนหรือไถ่ถอนหน่วยลงทุนประเภท ก. ทั้งหมดโดยอัตโนมัติ
คุ้มครองเงินลงทุน 3.36 เท่า
อย่างไรก็ดี กองทุนมีกลไกการบริหารความเสี่ยงอยู่ จากการกำหนดอัตราส่วนมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของทั้งกองทุน ต่อเงินลงทุนของหน่วยลงทุนประเภท ก. (Asset Coverage Ratio : ACR) โดยจากข้อมูล NAV รวมของกองทุนสิ้นสุดวันที่ 6 กันยายน 2567 อยู่ที่ 3.5 แสนล้านบาท และระดมทุนใหม่เพิ่ม 1.5 แสนล้านบาท ACR จะอยู่ที่ประมาณ 3.36 เท่า ซึ่งกรณีที่ ACR ลดลงต่ำกว่า 2 เท่า ติดต่อกัน 5 วันทำการ บริษัทจัดการจะเพิ่มสัดส่วนของสินทรัพย์สภาพคล่อง หรือกันส่วนสำรองเพื่อการจ่ายเงินปันผลให้เพียงพอต่อการจ่ายผลตอบแทนขั้นต่ำแก่ผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ก.ได้เป็นระยะเวลาประมาณ 2 ปี
และกรณี ACR ลดลงต่ำกว่า 1.5 เท่า ติดต่อกัน 5 วันทำการ บริษัทจัดการอาจพิจารณาเปลี่ยนสินทรัพย์ลงทุนให้เป็นสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่อง จำนวนไม่น้อยกว่าเงินลงทุนเริ่มต้นของหน่วยลงทุนประเภท ก. ภายในระยะเวลา 90 วัน และเก็บไว้เป็นเงินสำรองตามมาตรการชำระคืนเงินลงทุนของหน่วยลงทุนประเภท ก. โดยจะทยอยเปลี่ยนสินทรัพย์เพื่อผลประโยชน์ของผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ก. หรือรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติจากผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ก.ทั้งหมดหรือบางส่วน
จึงเสมือนว่าผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ก. ได้รับความคุ้มครองจากกลไกการบริหารความเสี่ยงก่อนผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ข. และเพื่อตอบแทนการให้ความคุ้มครองตามกลไกบริหารความเสี่ยงดังกล่าว ผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ข. จะได้รับเงินปันผล หรือมีสิทธิขายคืนหน่วยลงทุนตลอดอายุโครงการ จาก NAV ข. ส่วนที่เกินจาก NAV เริ่มต้นของหน่วยลงทุนประเภท ข.ที่ 300,000 ล้านบาท
สำหรับกองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2546 ตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยเป็นกองทุนรวมปิดมีขนาดเริ่มต้น 100,000 ล้านบาท (นักลงทุนทั่วไปลงทุนรวม 70,000 ล้านบาท)