ภากร ฝากการบ้าน “อัสสเดช” เอ็มดีตลาดหุ้นคนใหม่ รับมือเศรษฐกิจโลกเปลี่ยน

ภากร ปีตธวัชชัย
ภากร ปีตธวัชชัย

ดร.ภากร เกษียณทำงานวันสุดท้าย 18 ก.ย.นี้ พร้อมฝากการบ้าน “อัสสเดช คงสิริ” ผู้จัดการ ตลท. คนใหม่ รับมือความท้าทายเศรษฐกิจโลกเปลี่ยนแปลงเร็ว แนะติดตามข้อมูลและออกกฎเกณฑ์ที่เหมาะสม หวังรักษามาตรฐานให้เทียบเคียงกับตลาดต่างประเทศ พร้อมมองบรรยากาศลงทุนหุ้นไทยดี หลังปัจจัยรอบด้านหนุน

วันที่ 16 กันยายน 2567 ดร.ภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวในงาน Meet the Press ซึ่งจัดขึ้นเพื่อเป็นการอำลาตำแหน่งผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า หลังจากที่หมดวาระการดำรงตำแหน่งแล้วนั้น จึงขอฝากถึงผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯคนใหม่ คุณอัสสเดช คงสิริ ที่จะเริ่มทำงานในวันที่ 19 ก.ย. 2567

โดยมองว่าผู้จัดการคนใหม่จะมีความท้าทาย เพราะภาวะเศรษฐกิจโลกและตลาดทุนโลกมีการเปลี่ยนแปลงไปมากและผลกระทบมีอย่างรวดเร็ว จึงทำให้การจัดการในอนาคตต้องวิเคราะห์และติดตามข้อมูลมาออกเป็นกฎเกณฑ์ที่เหมาะสม

ยิ่งไปกว่านั้นตลาดทุนที่เชื่อมต่อกันทั่วโลกจะทำให้การแข่งขันสูงขึ้น จึงต้องหาวิธีที่จะทำอย่างไรให้ตลาดหุ้นไทยยังสามารถเทียบเคียงกับตลาดต่างประเทศได้ และเป็นตลาดที่มีคนอย่างเข้ามาระดมทุนหรือมีนักลงทุนที่เหมาะสมครบถ้วน รวมถึงมีความบาลานซ์ที่ดี โดยเชื่อว่าอันนี้ถือเป็นความท้าทายและสิ่งที่ผู้จัดการคนใหม่คงจะต้องนำพาตลาดทุนไทยให้เจริญอย่างยั่งยืนต่อไป

ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมาตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมีการพัฒนาหลายด้าน และมี 3 ด้านหลักที่พัฒนามาอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ 1.การให้บริการตลาดทุน การระดมทุนในการลงทุน ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯ มุ่งมั่นให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น สามารถแข่งขันได้กับตลาดโลก 2.การให้ความสำคัญกับการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของตลาดทุนมาก ซึ่งทำอย่างไรที่จะได้ไม่มีการลงทุนซ้ำซ้อนหรือทำอย่างไรให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องขยายธุรกิจได้ด้วยต้นทุนต่ำ และ 3.การส่งเสริมการเงินให้มีความยั่งยืน เช่น การให้ความรู้ด้านการเงิน การทำธุรกิจอย่างยั่งยืน

“3 เรื่องนี้เป็นเรื่องหลักที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้ความสำคัญ และในช่วงหลังจากการที่โลกมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว ทั้งเรื่อง เทคโนโลยี พฤติกรรมการลงทุนที่เปลี่ยนแปลง ตลาดทุนมีการปรับวิธีการทำงาน กฏเกณฑ์ต่าง ๆ เชื่อว่าสิ่งที่ทำมาจะทำให้ตลาดทุนไทย สามารถพัฒนาต่อไปอย่างต่อเนื่องอย่างยั่งยืน”

Advertisment

ดร.ภากรกล่าวต่อว่าด้านภาพรวมภาวะตลาดหุ้นไทยนั้น มองว่าบรรยากาศการลงทุนที่กลับมาจากหลายส่วนและเป็นทั้งปัจจัยภายในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งปัจจัยต่างประเทศมาจากนโยบายดอกเบี้ยที่เริ่มจะลดลง ทำให้สภาพคล่องในตลาดโลกดีขึ้น รวมถึงเศรษฐกิจที่เริ่มมีการฟื้นตัวในหลายประเทศ ถึงแม้จะมีความขัดแย้งทางการเมืองอยู่บ้าง แต่ผลกระทบก็เริ่มลดลง

ส่วนปัจจัยภายในประเทศจะเห็นว่าเศรษฐกิจไทยเริ่มฟื้นตัวอย่างเห็นได้ชัด จำนวนนักท่องเที่ยวเริ่มเยอะขึ้น และการส่งออกในเดือน ก.ค. 67 โตเกิน 15% รวมถึงค่าเงินบาทที่แข็งขึ้น 6% ใน 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา และดัชนีของตลาดหุ้นที่สะท้อนถึงความสามารถการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียนไทย (บจ.) ช่วง 2 ไตรมาสแรกปี’67 โตขึ้นถึง 10% ซึ่งอยู่ในระดับเดียวกับช่วงก่อนเกิดโควิด

Advertisment

จึงเป็นเหตุให้บรรยากาศกลับมาดีขึ้น เพราะปัจจัยทั้งในประเทศและต่างประเทศ ตอนนี้สิ่งที่อยากจะฝากนักลงทุนคือ การติดตามดูข้อมูลต่อไป เพราะยังมีปัจจัยทั้งในและต่างประเทศที่กระทบเราอยู่

พร้อมเชื่อว่าจากตอนนี้ที่รัฐบาลมีนโยบายที่ชัดเจนไม่ว่าจะเป็นกองทุนวายุภักษ์หรือกองทุนรวม Thai ESG น่าจะทำให้ฟันด์โฟลว์ไหลกลับเข้ามาได้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงหากเศรษฐกิจไทยยังฟื้นตัวต่อไปคาดว่าสิ่งเหล่านี้จะเป็นจุดเปลี่ยนของตลาดหุ้นไทย

ส่วนด้านกระแสเงินทุนต่างชาติที่ไหลเข้ามาในตลาดหุ้นไทย คาดว่ามาจากปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ โดยปัจจัยภายนอกมาจากเศรษฐกิจโลกที่ดีขึ้น ความไม่แน่นอนที่ลดลง ดอกเบี้ยที่ลดลงและสภาพคล่องที่สูงขึ้น ส่วนปัจจัยในประเทศมาจากเศรษฐกิจไทยที่เริ่มฟื้นตัว บจ.มีกำไรสูงขึ้น และค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น โดยสิ่งเหล่านี้ที่ทำให้เม็ดเงินต่างชาติกลับมาอย่างต่อเนื่อง