ฟันด์โฟลว์พลิกไหลกลับ ครึ่งเดือนทะลัก 2.5 หมื่นล้าน

flow_back

ฟันด์โฟลว์ไหลกลับ เดือน ก.ย. ต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทย 2.5 หมื่นล้าน “บล.เอเซีย พลัส” ลุ้นดัชนี SET ทะยานสู่ 1,500 จุด หลายปัจจัยหนุน ทั้ง “เฟดลดดอกเบี้ย-กองทุนวายุภักษ์-Thai ESG” ขณะที่ “ผู้จัดการ ตลท.” ชี้เศรษฐกิจไทยเริ่มฟื้นตัวชัด-กำไร บจ.โต ฟาก “บล.เมย์แบงก์” ประเมินกองทุนวายุภักษ์ ส่อดันดัชนี SET พุ่ง 150-200 จุด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากข้อมูลของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พบว่า เดือน ก.ย. 2567 นับจากต้นเดือนจนถึงวันที่ 16 ก.ย. (MTD) นักลงทุนต่างชาติพลิกกลับมาซื้อสุทธิหุ้นไทยแล้ว 25,334 ล้านบาท พลิกจากช่วงก่อนหน้านี้ที่ต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยต่อเนื่อง

นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ และหัวหน้าสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส จำกัด กล่าวว่า การฟื้นตัวกลับมาของตลาดในรอบนี้ได้แรงหนุนจากการไหลเข้าของเงินลงทุนต่างชาติ (Fund Flow) เป็นหลัก หากนับตั้งแต่นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ได้เป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย จะพบว่านักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทยไปแล้ว 30,000 ล้านบาท

ทั้งนี้ คาดว่าช่วงที่เหลือของปี ฟันด์โฟลว์มีโอกาสไหลเข้าตลาดหุ้นไทยได้อย่างต่อเนื่อง เพราะคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดดอกเบี้ยในเดือน ก.ย.นี้ 0.25% และทั้งปีคาดว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยรวมแล้วไม่น้อยกว่า 0.75% ซึ่งจะกดให้เงินดอลลาร์อ่อนค่า และเงินบาทแข็งค่า ซึ่งจะหนุนฟันด์โฟลว์ไหลเข้าตลาดหุ้นไทยต่อเนื่อง โดยประเมินเป้าหมายดัชนี SET ช่วงสิ้นปี 2567 จะอยู่ที่บริเวณ 1,450 จุด และเป้าหมายถัดไปที่ระดับ 1,500 จุด

“เรามองเฟดจะลดดอกเบี้ยครั้งแรกของปีนี้ 0.25% สู่ระดับ 5.25% แต่ก็เริ่มมีความเห็นที่ออกมาจาก Fed Watch Tool ที่เทน้ำหนักไปที่ว่า เฟดอาจจะลดดอกเบี้ยถึง 0.50% ซึ่งจะเซอร์ไพรส์ตลาด และจะยิ่งหนุนให้ฟันด์โฟลว์ไหลเข้าตลาดหุ้นไทยได้ดีมากยิ่งขึ้น”

นายเทิดศักดิ์กล่าวว่า ขณะเดียวกัน ดัชนี SET ยังมีแรงหนุนจากเงินลงทุนภายในประเทศผ่านกองทุนวายุภักษ์และกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG) โดยเม็ดเงินลงทุน 2 ก้อนนี้ รวม ๆ น่าจะเกือบ 200,000 ล้านบาท แยกเป็นเงินลงทุนในกองทุนวายุภักษ์ ประมาณ 150,000 ล้านบาท และเงินลงทุนกองทุน Thai ESG ประมาณ 30,000-40,000 ล้านบาท

Advertisment

นอกจากนี้ ตลาดหุ้นไทยยังมีแรงส่งจากทิศทางกำไรบริษัทจดทะเบียนที่ดูดี จากกำไรครึ่งปีแรกอยู่ที่ 530,000 ล้านบาท เติบโต 3.9% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน (YOY) ขณะที่กำไรช่วงครึ่งปีหลัง ประเมินมีโอกาสเติบโต 27% YOY จากฐานครึ่งปีหลังของปีที่แล้วที่ค่อนข้างต่ำที่ 460,000 ล้านบาท โดยคาดครึ่งปีหลังของปีนี้จะขยับมาอยู่ที่ระดับ 590,000 ล้านบาท

“อย่างไรก็ตาม ต้องระวังปัจจัยเสี่ยงที่อาจสร้างความผันผวนให้กับตลาดหุ้นไทยได้ คือ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ แต่สถานการณ์ในตอนนี้ยังไม่เห็นความขัดแย้งที่จะรุนแรง” นายเทิดศักดิ์กล่าว

Advertisment

นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า ฟันด์โฟลว์ที่ไหลเข้ามาในตลาดหุ้นไทย คาดว่ามาจากปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ โดยจากเศรษฐกิจโลกที่ดีขึ้น ความไม่แน่นอนที่ลดลง และดอกเบี้ยที่ลดลงทำให้สภาพคล่องในตลาดโลกดีขึ้น

ภากร ปีตธวัชชัย
ภากร ปีตธวัชชัย

และเศรษฐกิจไทยที่เริ่มฟื้นตัวอย่างเห็นได้ชัด จำนวนนักท่องเที่ยวเริ่มมากขึ้น และการส่งออกในเดือน ก.ค. 2567 เติบโต 15% รวมถึงค่าเงินบาทแข็งขึ้น 6% ในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา และดัชนีตลาดหุ้นสะท้อนความสามารถการทำกำไร บจ.ช่วง 2 ไตรมาสแรกปี 2567 ที่มีกำไรเติบโตขึ้นถึง 10% ซึ่งอยู่ในระดับเดียวกับช่วงก่อนเกิดโควิด จึงเป็นเหตุผลทำให้บรรยากาศกลับมาดีขึ้น

“สิ่งเหล่านี้จะทำให้ฟันด์โฟลว์ไหลกลับมาอย่างต่อเนื่อง แล้วก็เชื่อว่าจากตอนนี้ที่รัฐบาลมีนโยบายที่ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นกองทุนวายุภักษ์และกองทุนรวม Thai ESG น่าจะทำให้ฟันด์โฟลว์ไหลกลับเข้ามาได้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงหากเศรษฐกิจไทยยังฟื้นตัวต่อไป คาดว่าสิ่งเหล่านี้จะเป็นจุดเปลี่ยนของตลาดหุ้นไทย” นายภากรกล่าว

ด้านรายงานจากทีมวิจัย บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) คาดการณ์ว่า ตลาดหุ้นไทยจะปิดปีนี้ได้อย่างแข็งแกร่ง ด้วยการฟื้นตัวจากปัจจัยเศรษฐกิจและการลงทุนหลายประการ โดยเฉพาะการสนับสนุนจากรัฐบาลและเงินทุนไหลเข้า โดยดัชนี SET จะได้รับแรงหนุนจากการเติบโตของเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ โดย GDP ของไทยในไตรมาส 3 และ 4 คาดว่าจะขยายตัวถึง 2.9% ซึ่งสูงกว่าอัตราการเติบโตในช่วงไตรมาส 1 และ 2 ปีนี้ที่ 1.5% และ 2.3% ปัจจัยขับเคลื่อนหลักมาจากการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ การเติบโตของภาคการท่องเที่ยว และการฟื้นตัวของการส่งออก

ขณะที่กองทุนวายุภักษ์อาจช่วยผลักดันดัชนี SET เพิ่มขึ้นได้ถึง 150-200 จุด ทีมวิเคราะห์ได้เลือกหุ้นที่น่าสนใจ เช่น กลุ่มธนาคาร (KTB, SCB, TTB) และกลุ่มพลังงาน (PTT, BCP) ซึ่งคาดว่าจะได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของตลาดในครึ่งหลังของปีนี้