
ทั่วโลกจับตาประชุมเฟดคืนนี้ รอดูลดดอกเบี้ย 0.25% หรือ 0.5% ถือเป็นการลดดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบ 4 ปี ด้าน “บล.เอเซีย พลัส” วิเคราะห์ความเคลื่อนไหว “เศรษฐกิจ-ตลาดหุ้น-ค่าเงิน-ฟันด์โฟลว์”
วันที่ 18 กันยายน 2567 นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ และหัวหน้าสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส จำกัด เปิดเผยว่า วานนี้มีรายงานตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐชุดล่าสุดออกมา ทั้งยอด Retail Sales และ Industrial Production ยังสูงกว่าคาด ซึ่งยังไม่ได้สะท้อนเศรษฐกิจชะลอตัวลงแรงอย่างมีนัย
อย่างไรก็ตาม คืนนี้ตี 1 (ตามเวลาประเทศไทย) รอติดตามการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ครั้งที่ 6/2567 ซึ่งคาดว่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของการปรับลดดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบ 4 ปี ขณะที่ FED WATCH TOOL แสดงความน่าจะเป็น 63% ที่มองว่า FED จะปรับลดดอกเบี้ยแรง 0.5% ส่วน CONSENSUS คาด FED ลดดอกเบี้ยครั้งนี้ที่ 0.25%
ในกรณีที่ FED เร่งปรับลดดอกเบี้ยลงเร็วและแรง อาจตามมาด้วยความเสี่ยงในการเกิดเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ในสหรัฐ โดยจากสถิติในอดีต รอบการปรับลดดอกเบี้ยครั้งแรกในอัตรา 0.5% และหลังจากนั้น 6 เดือน ดอกเบี้ยร่วงลงแรงอย่างรวดเร็ว มักจะตามมาด้วยเศรษฐกิจชะลอตัวแบบ Hard Landing แต่ในทางกลับกันหากดอกเบี้ยปรับลดลงแบบค่อยเป็นค่อยไป ท่ามกลางเศรษฐกิจยังขยายตัวได้ สะท้อน FED ทำ Soft Landing สำเร็จ
การทยอยปรับลดดอกเบี้ยในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว บวกกับเงินบาทที่แข็งค่าอย่างรวดเร็ว (แม้จะเป็นผลดีต่อการเรียกความเชื่อมั่นในตลาดการเงิน แต่ในเชิงเศรษฐกิจมักกระทบภาคส่งออก) เป็นปัจจัยหนุนให้ไทยมีสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการปรับลดดอกเบี้ย เพิ่มคาดหวังว่าจะเห็น กนง.ปรับลดดอกเบี้ยอย่างน้อย 1 ครั้งราว 0.25% ในช่วงที่เหลือของปีนี้ สะท้อนตามผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Bond Yield) ไทยอายุ 10 ปี ลดลงมาแตะ 2.5% ครั้งแรกในรอบ 4 เดือน
ส่วนประเด็นอื่นที่อยู่ในความสนใจ วานนี้การประชุม ครม.นัดแรก อนุมัติกระตุ้นเศรษฐกิจแจกเงิน 10,000 บาท 14.5 ล้านคน ให้ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ-บัตรคนพิการ รวม 1.4 แสนล้านบาท เริ่มจ่าย 25 ก.ย. 67 พร้อมตั้ง “บอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจ” (คาดเสร็จภายในสัปดาห์นี้) พิจารณาแผนเศรษฐกิจปลายปี เล็งออกมาตรการของขวัญปีใหม่ให้ประชาชน พร้อมทั้งกระทรวงการคลังเตรียมขยายขนาดกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ดึงอุตสาหกรรมเป้าหมายลงทุนในประเทศเพิ่มเติม และเรื่องการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาท/วัน เริ่มวันที่ 1 ต.ค. 2567
ขณะที่ในมุมของภาคท่องเที่ยวถือว่ายังดูดี โดยภาพรวมสถานการณ์ท่องเที่ยว ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-15 ก.ย. 2567 พบว่าประเทศไทยมีจำนวนนักท่องเที่ยวสะสมรวมทั้งสิ้น 24.8 ล้านคน เติบโต 31% เทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน (YOY) ซึ่งจำนวนนักท่องเที่ยวมีโอกาสเติบโตขึ้นอีก ตามการเข้าสู่ช่วง High Season ในไตรมาส 4 และ รมว.การท่องเที่ยวฯ เตรียมนัดถกภาคเอกชนท่องเที่ยวกว่า 20 หน่วยงานในวันนี้ โดยเล็งปัดฝุ่นโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” ดันรายได้ท่องเที่ยวสู่ระดับ 3 ล้านล้านบาท
ประเด็นดังกล่าวคาดหนุนให้ GDP GROWTH ไทยปีนี้มีโอกาสแตะ 3% ดังที่ปลัดกระทรวงการคลังตั้งเป้าหมายไว้ ซึ่งหาก GDP GROWTH ปีนี้โต 3% จริงดังคาด ทำให้ช่วงครึ่งปีหลัง 2567 จะต้องเติบโตสูงถึง 4.1% YOY
“สรุปครึ่งปีหลังช่วงที่ดีของตลาดหุ้นไทย ด้วยการฟื้นตัวของ GDP GROWTH ตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ดังที่ประชุม ครม.วานนี้”
โดยด้านตลาดหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมา SET INDEX ถูกขับเคลื่อนด้วยฟันด์โฟลว์ต่างชาติที่ซื้อสุทธิติดต่อกัน 8 วันทำการ ด้วยมูลค่าสูงถึง 2.8 หมื่นล้านบาท แต่หลังจากนี้คาดว่าฟันด์โฟลว์อาจชะลอช่วงสั้น ๆ ด้วยปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้
1.วานนี้ต่างชาติสลับมาขายสุทธิ 416 ล้านบาท และยังขายสุทธิผ่าน NVDR อีก 848 ล้านบาท หลังจากซื้อสุทธิติดต่อกัน 8 วันทำการ
2.ค่าเงินบาทมีการชะลอการแข็งค่าช่วงสั้น หรืออ่อนค่าเล็กน้อย โดยค่าเงินบาท เคยย่อตัวลงไปใกล้ ๆ 33 บาท/เหรียญ แต่ปัจจุบันปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ 33.35 บาท/เหรียญ ส่งผลให้ต่างชาติอาจชะลอการลงทุนบ้าง
3.นักลงทุนต่างชาติอาจชะลอการลงทุน เพื่อรอดูทิศทางการลดดอกเบี้ยของ FED ในคืนนี้ ซึ่งน่าจะเป็นการลดดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบ 4 ปี และประเมิน DOT PLOT ว่ามีมุมมองต่อนโยบายการเงินในช่วงถัดไปอย่างไร
ทั้ง 3 ปัจจัยแวดล้อมภายนอก แสดงให้เห็นว่าฟันด์โฟลว์มีโอกาสชะลอการไหลเข้า และกดดันตลาดหุ้นไทยในช่วงสั้น ๆ ได้ แต่ภาพรวมปัจจัยภายใน SET INDEX ยังดูดี มีโอกาสผันผวนน้อยกว่าตลาดหุ้นโลก จากแนวโน้มกำไรมีโอกาสเติบโตตามการฟื้นตัวของศรษฐกิจ และยังมีเม็ดเงินกองทุนวายุภักษ์ทยอยเข้ามาหนุนในระยะถัดไป