
โอ้กะจู๋ นำหุ้น OKJ เข้าซื้อขายในตลาดหุ้นไทยวันแรก 4 ต.ค.นี้ “บัวหลวง” แจ้งเทรดวันแรกจะมีบิ๊กลอต Modulus บริษัทลูก OR ซื้อหุ้นจากผู้ก่อตั้ง 31.8 ล้านหุ้น สัดส่วน 5.2% เพื่อคงสัดส่วนถือหุ้น 20% ตอกย้ำศักยภาพธุรกิจ “ชลากร-ซีอีโอ” กางแผนเงินลงทุน 75% ลุยขยายสาขาร้านโอ้กะจู๋ ภายในปี 2571 แตะ 67-70 สาขา Oh! Juice แตะ 70 สาขา Ohkajhu Wrap & Roll 20 สาขา แย้มเจรจาลงทุนธุรกิจใน CLMV ชัดเจนปี 2568 ฟาก “ซีเอฟโอ” คาดสิ้นปี SSSG โตไม่ต่ำกว่า 8%
วันที่ 19 กันยายน 2567 นางสาวอาทิตยา ปัญจทรัพย์ หัวหน้าฝ่ายตลาดทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นไอพีโอ บมจ.ปลูกผักเพราะรักแม่ (OKJ) หรือ “โอ้กะจู๋” เปิดเผยว่า หุ้น OKJ จะเปิดให้จองซื้อวันที่ 23-25 ก.ย. 2567 ที่ราคาหุ้นไอพีโอหุ้นละ 6.70 บาท
โดยมี บล.บัวหลวง เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย และมี บล.กรุงไทย เอ็กซ์สปริง และ บล.ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) เป็นผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย และกำหนดจะเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหุ้นไทย วันที่ 4 ต.ค. 2567 โดยหุ้น OKJ จะเข้าไปลิสต์อยู่ในหมวดธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม (F&B) ในตลาดหลักทรัพย์ SET มีนโยบายการจ่ายเงินปันผลไม่ต่ำกว่า 40% ของกำไรสุทธิ
สำหรับจำนวนหุ้นที่เสนอขายในครั้งนี้จะเป็นหุ้นใหม่ทั้งหมด เป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 159 ล้านหุ้น หรือประมาณ 26.1% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัท ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้
โดยราคาเสนอขายหุ้นละ 6.70 บาท พิจารณาจากอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิ (PE) ย้อนหลัง 12 เดือน จะเท่ากับ PE ที่ 24 เท่า และราคาหุ้นไอพีโอที่ 6.70 บาท ถือเป็นราคาสูงสุดในเรตราคาที่อนุญาตให้นักลงทุนสถาบัน Book Building เข้ามา และได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนสถาบันทุกรายรวมกว่า 10 ราย ซึ่งประสบความสำเร็จมาก เพราะมี Over Book สูงถึง 11 เท่า
ทั้งนี้ ระยะเวลาห้ามขายของกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิม คือกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมจะนำหุ้นจำนวน 55% ไปฝากไว้กับบริษัท ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (ประเทศไทย) จำกัด (TSD) ตามกฎเป็นระยะเวลา 1 ปี นับตั้งแต่วันที่หุ้น OKJ เริ่มซื้อขายในตลาดหุ้นไทย นอกจากนี้ จะนำหุ้นส่วนที่เหลือฝากไว้กับ บล.บัวหลวง โดยตกลงที่จะไม่ขายหรือจำหน่ายจ่ายโอนเป็นระยะเวลา 180 วัน เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน
“หลังจากที่มีการออกหุ้นใหม่และเสนอขายหุ้นไอพีโอ จะทำให้ผู้ถือหุ้นทุกรายโดย dilute ไปบางส่วน โดยทาง บริษัท มอดูลัส เวนเจอร์ จำกัด (Modulus) ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ บมจ.ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก (OR) ที่เดิมถือหุ้น OKJ อยู่ที่สัดส่วน 20% จะเหลือสัดส่วนการถือหุ้น 14.8% อย่างไรก็ดีทาง OR มีความประสงค์ที่จะคงสัดส่วนการถือหุ้นไว้ที่ระดับ 20%
จึงได้ทำสัญญาซื้อขายหุ้น โดยจะซื้อหุ้นสามัญเดิมจากผู้ร่วมก่อตั้งทั้ง 3 ราย รวม 31.8 ล้านหุ้น คิดเป็น 5.2% ของจำนวนหุ้นหลังไอพีโอบนกระดานรายใหญ่ (Big Lot Board) ในราคาเดียวกับราคาไอพีโอ ในวันแรกที่หุ้น OKJ เข้าซื้อขายในตลาดหุ้นไทย
ดังนั้น หากนักลงทุนเห็นธุรกรรมบิ๊กลอตในวันแรกก็ไม่ต้องกังวลหรือตกใจ เพราะเป็นการปรับโครงสร้างภายในระหว่างผู้ถือหุ้นเดิม สะท้อนถึง OR มีความมั่นใจในธุรกิจและศักยภาพของ OKJ” นางสาวอาทิตยากล่าว
เงินลงทุน 75% ขยายสาขา-เน้นโต Quality Growth
นายชลากร เอกชัยพัฒนกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปลูกผักเพราะรักแม่ จำกัด (มหาชน) หรือ OKJ กล่าวว่า การมี OR เข้ามาร่วมถือหุ้น ถือเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้มีข้อมูลในการขยายสาขาและวางกลยุทธ์ธุรกิจได้ดีมากขึ้น โดย OR จะคงสัดส่วนถือหุ้นที่ 20% แม้ว่าในตอนแรกสนใจอยากจะถือหุ้นเพิ่มเป็น 30%
สำหรับเงินที่ได้จากการะดมทุนในครั้งนี้จะแบ่งสัดส่วน 75% มาใช้ในการขยายร้านอาหารแบรนด์โอ้กะจู๋, Oh! Juice และ Ohkajhu Wrap & Roll โดยตั้งเป้าภายในปี 2571 จะขยายสาขาร้านโอ้กะจู๋ ไปอยู่ที่ระดับ 67-70 สาขา โดยตั้งเป้าขยายประมาณ 6-8 สาขาต่อปี สำหรับร้าน Oh! Juice ภายใน 4-5 ปี ตั้งเป้าจะขยายสาขาแตะระดับ 70 สาขา จากปัจจุบันอยู่ที่ 6 สาขา โดยตั้งเป้าขยายสาขาประมาณ 20-25 สาขาต่อปี
ขณะที่ร้าน Ohkajhu Wrap & Roll ปัจจุบันมีอยู่ 1 สาขา ตั้งเป้าขยายสาขาไปแตะ 20 สาขา ซึ่งอาจยังไม่ได้ขยายร้านมากนัก โดยจะขยายสาขาเฉลี่ยต่อปีประมาณ 5 สาขา
ส่วนเงินลงทุนอีก 20% บริษัทจะนำมาใช้ลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การสร้างครัวกลางกรุงเทพฯ แห่งใหม่ และพัฒนาเครื่องจักร อุปกรณ์ และระบบสาธารณูปโภค เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเพาะปลูก และที่เหลือจะแบ่งเงินไปชำระหนี้สถาบันการเงิน
“กลยุทธ์การเติบโตของเรา จะให้ความสำคัญทั้งเรื่องฟาร์มผักและโรงงานด้วย ดังนั้นการขยายธุรกิจของเราจะเป็นลักษณะ Quality Growth คือต้องมีความพร้อมที่จะรองรับถึงจะขยายธุรกิจในอนาคต ซึ่งปัจจุบันพื้นที่ฟาร์มผักสามารถรองรับการขยายสาขาได้ถึง 3 เท่าตัว ปัจจุบันมีพื้นที่สวนรวม 380 ไร่ กำลังการผลิตรวม 850,000 กิโลกรัม/ปี”
“การขยายสาขาไม่ใช่เป็นคำตอบเดียวของเรื่องบรรทัดสุดท้าย (กำไรสุทธิ) แต่การจัดการต้นทุนวัตถุดิบต่าง ๆ ก็เป็นช่องทางหนึ่งที่จะทำให้บริษัทเติบโตได้อย่างยั่งยืนด้วย”
ตั้งเป้า SSSG สิ้นปีนี้ไม่ต่ำกว่า 8%
นางสาวภวิษย์เพ็ญ เหล่ารัตนไพบูลย์ ประธานเจ้าหน้าหน้าที่บัญชีและการเงิน OKJ กล่าวว่า คาดการณ์ว่าในช่วงสิ้นปี 2567 การเติบโตของยอดขายจากสาขาเดิม (SSSG) ของร้านโอกะจู๋ จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 8% จากช่วง 6 เดือนแรกปีนี้ SSSG เติบโตได้ 8.4% โดยปัจจุบันสัดส่วนรายได้ยังมาจากร้านโอ้กะจู๋ 98% และที่เหลือมาจากรายได้แบรนด์ใหม่ทั้งร้าน Oh! Juice และ Ohkajhu Wrap & Roll
อย่างไรก็ตาม บริษัทตั้งเป้าสัดส่วนรายได้ของแบรนด์ใหม่ในสิ้นปีนี้จะขยับเป็น 5% ตามแผนขยายสาขา และในปี 2571 จะเพิ่มสัดส่วนรายได้เป็น 25%
“จากปี 2566 บริษัทมีฐานลูกค้า 3.4 ล้านคน แต่ครึ่งปีแรกของปีนี้มีจำนวนลูกค้าแล้ว 2.7 ล้านคน ตอกย้ำ SSSG ที่ไม่ได้โตจากการไปเพิ่มราคา แต่ยังคงคุณค่าให้กับลูกค้า โดย SSSG ที่โต 8.4% ต้องบอกว่า 7.5% มาจากจำนวนลูกค้าที่มาใช้บริการเพิ่มขึ้น ไม่ได้มาจากราคาที่เพิ่มขึ้น และที่เหลืออีก 1% ก็มาจาก Ticket Size Per Head ที่สูงขึ้น”
สำหรับอัตราการเติบโตเฉลี่ยของรายได้ (CAGR) ในช่วงปี 2563-2566 เติบโตอยู่ประมาณ 46.5% โดยปี 2566 มีรายได้ 1,712 ล้านบาท และสำหรับช่วง 6 เดือนแรกปีนี้ มีรายได้ 1,097 ล้านบาท เติบโต 41.3% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน (YOY)”
เจรจาต่างประเทศ ขยายร้าน Oh! Juice ในกลุ่ม CLMV
นางสาวเบญญาภา เตชะมณีสถิตย์ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ OKJ กล่าวว่า ปกติร้านโอกะจู๋ 1 สาขา ใช้เงินลงทุนเฉลี่ยประมาณ 15 ล้านบาท แต่ร้าน Oh! Juice ใช้เงินลงทุนเพียงแค่ 1 ใน 5 และ Ohkajhu Wrap & Roll ใช้เงินลงทุนเพียงแแค่ 1 ใน 3 เท่านั้น โดยร้าน Oh! Juice ใช้เวลาคืนทุนอยู่ที่ประมาณ 6 เดือน ซึ่งตอบโจทย์ในเรื่องของการขยายสาขาได้เร็วเพิ่มมากขึ้น เบื้องต้นก็เล็งขยายตามโซนออฟฟิศและโรงพยาบาล
นายชลากรกล่าวต่อว่า สำหรับแผนการขยายธุรกิจในต่างประเทศ จะมุ่งเน้นไปยังกลุ่มประเทศ CLMV ก่อน โดยช่วงที่ผ่านมามีคนสนใจติดต่อลงทุนเข้ามาค่อนข้างมาก ทั้งแบรนด์ร้านโอ้กะจู๋ และ Oh! Juice แต่อย่างไรก็ตาม การสเกลอัพจะต้องให้ความสำคัญกับระบบหลังบ้านเป็นสำคัญ ทั้งนี้ในเบื้องต้นคาดว่าน่าจะขยายร้าน Oh! Juice ไปได้ก่อน ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจา คาดว่าจะมีความชัดเจนในปี 2568