ตลาดเชื่อ กนง. ลดดอกเบี้ยเร็ว “รักษาเสถียรภาพค่าเงินบาท-บอนด์ยีลด์ไทยต่ำกว่าดอกเบี้ยนโยบาย”

กนง. ค่าเงิน ดอกเบี้ย

“ภราดร” นักวิเคราะห์เอเซียพลัส เผยตลาดมองโอกาสเศรษฐกิจสหรัฐจะเกิด Recession แค่ 30% ชี้เม็ดเงินออกจากตลาดหุ้นสหรัฐมีโอกาสไหลเข้าตลาดหุ้นไทยต่อเนื่อง เหตุค่าเงินบาทแข็งค่า ได้กำไรอัตราแลกเปลี่ยน ดัชนี SET ระดับ PE ถูกกว่า ค่อนข้างปลอดภัย พร้อมระบุตลาดเชื่อ กนง. ลดดอกเบี้ยเร็วจาก 2 ปัจจัย “รักษาเสถียรภาพค่าเงินบาท-บอนด์ยีลด์ไทยต่ำกว่าดอกเบี้ยนโยบายไปแล้ว” แนะนำนักลงทุนเล่นหุ้นโรงไฟฟ้า GPSC-BGRIM หุ้นปันผลสูง LH-AP-SIRI-TISCO-SCC หุ้นไฟแนนซ์ MTC-TIDLOR-SAWAD

วันที่ 19 กันยายน 2567 นายภราดร เตียรณปราโมทย์ รองผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส จำกัด กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ตามที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้ปรับลดดอกเบี้ยลงแรง 0.5% และคาดการณ์ว่าปี 2567 จะลดดอกเบี้ยลงรวม 1% ไปสู่ระดับ 4.5% และปี 2568 จะลดดอกเบี้ยลงอีก 1% ไปสู่ระดับ 3.5% ตาม Dot plot ของเฟดนั้น

หลังจากนี้คงต้องติดตามตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐโดยเฉพาะอัตราเงินเฟ้อและตัวเลขภาคแรงงาน หากออกมาไม่ดีอาจทำให้เกิดความกังวลเรื่องเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ในสหรัฐได้ ซึ่งเวลาเกิด Recession ไม่ว่าจะเป็นลักษณะ Soft Landing หรือ Hard Landing ตลาดหุ้นสหรัฐมีโอกาสจะย่อตัวลงก่อน

โดยประเมินเฟดคงค่อย ๆ ใช้นโยบายการเงินควบคุมเพื่อพยุงเศรษฐกิจสหรัฐให้ชะลอลงในลักษณะ Soft Landing หากทำได้ภายใน 1-2 เดือน ตลาดหุ้นสหรัฐน่าจะพลิกฟื้นกลับมาเป็นบวกได้แล้ว แต่หากเศรษฐกิจสหรัฐเกิด Hard Landing ตลาดหุ้นสหรัฐจะลดลงแรง เบื้องต้นประเมินลักษณะการย่อลงของตลาดหุ้นสหรัฐ ตั้งแต่ระดับ 2-8% ในระยะเวลาภายใน 6 เดือน

แต่อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ตลาดมองโอกาสเศรษฐกิจสหรัฐจะเกิด Recession มีอยู่ประมาณ 30% และเศรษฐกิจไทยจะเกิด Recession มีแค่อยู่ 10% เท่านั้น ทั้งนี้ตามกลไกปกติของตลาดห้นสหรัฐกับตลาดหุ้นไทยมีความสัมพันธ์ไม่มาก โดยมีค่า Beta แค่ 0.3% สะท้อนว่าแทบจะไม่มีความสัมพันธ์กันเลย ดังนั้นเมื่อตลาดหุ้นสหรัฐลงแรง ไม่ได้แปลว่าตลาดหุ้นไทยจะต้องปรับตัวลงแรงตาม

นอกจากนี้ยังเชื่อว่าเวลาหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีขึ้นมาแรง ๆ และมีความกังวลว่าเศรษฐกิจชะลอตัว หุ้นที่คาดหวังการ Growth อาจจะถูกขายทำกำไรลงมาบ้าง และเวียนไปหาหุ้นปันผลหรือหุ้น Valuation ดี ๆ

ADVERTISMENT

ซึ่งการที่เม็ดเงินออกจากตลาดหุ้นสหรัฐ มีโอกาสไหลเข้าตลาดหุ้นไทย เพราะว่าถ้าเกิดเฟดลดดอกเบี้ยปีนี้ 1% และปีหน้าอีก 1% รวม 8 ครั้ง ขณะที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ลดดอกเบี้ยแค่ 1-2 ครั้ง สะท้อนว่าเฟดลดดอกเบี้ยลงเร็วกว่า กนง. ในช่วง 1 ปีหลังจากนี้ จะทำให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าและค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่า ถ้าภาพเป็นลักษณะนี้จะเห็นเงินลงทุนต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) มีโอกาสไหลเข้าตลาดหุ้นไทยต่อเนื่อง เพราะจะได้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน

เหตุผลสำคัญที่เชื่อว่าฟันด์โฟลว์จะไหลเข้าตลาดหุ้นไทย เพราะโอกาสการเกิดเศรษฐกิจชะลอน้อยกว่า ค่าเงินบาทแข็งค่า และอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิ (PE) ของตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ 15 เท่า ในขณะที่ตลาดหุ้น S&P มีระดับ PE ที่ 23.2 เท่า ดังนั้นในมุม Valuation ถูกกว่า เพราะฉะนั้นตลาดหุ้นไทยมีความปลอดภัยมากกว่าเมื่อเทียบตลาดหุ้นสหรัฐ

ADVERTISMENT

สำหรับการลดดอกเบี้ยของ กนง. ตลาดเริ่มมีความคาดหวังว่ามีโอกาสจะลดดอกเบี้ยมากขึ้น สะท้อนได้จากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทย (บอนด์ยีลด์ไทย) ตั้งแต่อายุ 1-10 ปี ต่ำกว่าดอกเบี้ยนโยบายไปแล้ว หรือต่ำกว่า 2.5% แสดงว่าตลาดมองว่า กนง.มีโอกาสลดดอกเบี้ยมากขึ้น และอาจจะลดดอกเบี้ยในรอบการประชุมหน้า (วันที่ 16 ต.ค. 2567)

อย่างไรก็ตาม กนง.ต้องประเมินเสถียรภาพของค่าเงินบาท เพราะเศรษฐกิจไทยพึ่งพิงการส่งออก ดังนั้นเสถียรภาพของเศรษฐกิจไทยที่ดีคือ ควบคุมค่าเงินบาทให้ทรงตัว ๆ ไม่ผันผวน และเป็นทิศทางในทางอ่อนค่าช้า ๆ ไปเรื่อย ๆ หากค่าเงินบาทผันผวนมาก ไม่ว่าจะอ่อนค่าหรือแข็งค่า ผู้ส่งออกจะติดขัด ดังนั้นเชื่อว่าจะมีโอกาสเห็นการลดดอกเบี้ย เพื่อรักษาเสถียรภาพของค่าเงินบาท

ในมุมของนักลงทุน จากแนวโน้มฟันด์โฟลว์ไหลเข้ามาซื้อหุ้นไทย ซึ่งจะเป็นกลุ่ม Big Cap และหุ้นที่ได้ประโยชน์เทรนด์ค่าเงินบาทแข็งค่า เช่น กลุ่มโรงไฟฟ้า GPSC, BGRIM และหากเน้นมาที่หุ้น Valuation จะต้องมองหาหุ้นปันผลสูง เพราะยิ่งดอกเบี้ยต่ำเท่าไร เม็ดเงินจะมีมาจากฝั่งนักลงทุนในตลาดตราสารหนี้และตลาดหุ้นสู่หุ้นปันผลสูง ซึ่งราคาหุ้นมีโอกาสขยับขึ้นได้ดี แนะนำ LH, AP, SIRI, TISCO, SCC รวมทั้งหุ้นไฟแนนซ์ เช่น MTC, TIDLOR, SAWAD