หุ้นกลุ่ม Healthcare สหรัฐ ปรับตัวลดลงช่วงเลือกตั้งผู้นำ ?

คอลัมน์ : สถานีลงทุน
ผู้เขียน : สวภพ ยนต์ศรี บลจ.ทิสโก้

ภาพจำของนักลงทุนในประเทศไทยหลายคนมักมองว่า หุ้นในกลุ่ม Healthcare ของสหรัฐ มักจะมีความผันผวนในช่วงที่มีการเลือกตั้งประธานาธิบดี เนื่องจากนโยบายด้านสุขภาพที่ผู้สมัครแต่ละคนเสนออาจส่งผลกระทบโดยตรงต่อธุรกิจยาและบริการสุขภาพ

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือการเลือกตั้งในปี 2016 ซึ่งฮิลลารี คลินตัน ผู้สมัครตัวแทนจากพรรคเดโมแครต ได้ใช้นโยบายเกี่ยวกับราคายาเป็นหนึ่งในหัวข้อสำคัญในการหาเสียง ทำให้นักลงทุนเกิดความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับบริษัทผู้ผลิตยาและธุรกิจที่เกี่ยวข้อง

ซึ่งหนึ่งในนโยบายที่คลินตันเสนอคือการควบคุมราคายาผ่านการเจรจาต่อรองของรัฐบาล และการส่งเสริมให้มีการใช้ยาสามัญ (Generic Drugs) เพื่อเพิ่มการแข่งขันและลดต้นทุนการรักษา

นอกจากนี้ ยังเสนอให้มีมาตรการตรวจสอบและลงโทษบริษัทที่ขึ้นราคายาอย่างไม่เป็นธรรม นโยบายเหล่านี้สร้างแรงกดดันให้กับหุ้นกลุ่ม Healthcare ในช่วงก่อนการเลือกตั้ง ส่งผลให้หุ้นในกลุ่ม Healthcare ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วง 3 เดือนก่อนการเลือกตั้ง โดยเฉพาะในเดือนตุลาคมปี 2016 ซึ่งราคาหุ้นปรับตัวลดลงถึง -6.59%

อย่างไรก็ตาม เมื่อผลการเลือกตั้งพลิกล็อกไปสู่ชัยชนะของโดนัลด์ ทรัมป์ หุ้นกลุ่ม Healthcare กลับฟื้นตัวในเดือนพฤศจิกายนและปรับตัวขึ้น +2.06% หลังจากความกังวลทางด้านนโยบายราคายาคลี่คลายลง ซึ่งเหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงอิทธิพลของนโยบายด้านสุขภาพที่มีต่อความผันผวนของหุ้นกลุ่ม Healthcare

โดยหากมองย้อนกลับไปที่การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ในช่วง 5 ครั้งหลังสุด จะพบว่า หุ้นกลุ่ม Healthcare มักจะปรับลดลงในเดือนตุลาคมของปีที่มีการเลือกตั้ง แต่กลับมาปรับตัวขึ้นในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคม โดยมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นใน 4 จาก 5 ครั้งหลังสุดที่มีการเลือกตั้ง

ADVERTISMENT

อย่างไรก็ดี ในปีนี้แม้ว่าการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ จะยังคงเป็นประเด็นที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด แต่ดูเหมือนว่าผู้สมัครทั้งสองฝ่ายไม่ได้นำเสนอแนวทางที่เน้นเกี่ยวกับนโยบายราคายาเหมือนกับปี 2016

ทั้งนี้ ตั้งแต่ต้นปี 2024 หุ้นกลุ่ม Healthcare ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาแล้ว 12% (ข้อมูล ณ วันที่ 10 กันยายน 2024) และในช่วง 1 เดือนย้อนหลังสามารถปรับเพิ่มขึ้นได้ดีถึง +4% สาเหตุหนึ่งคือความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่เริ่มปรากฏขึ้น ซึ่งหุ้นกลุ่ม Healthcare มักจะเป็นกลุ่มที่สร้างผลตอบแทนได้ดีในช่วงที่เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยเนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีผลการดำเนินงานที่แน่นอนและมั่นคงไม่ว่าสภาวะเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไรก็ตาม

ADVERTISMENT

โดยเมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ปัจจุบัน มีแนวโน้มว่าหุ้นกลุ่ม Healthcare อาจไม่ได้รับผลกระทบอย่างมากจากการเลือกตั้งในครั้งนี้ ต่างจากปี 2016 ที่นโยบายทางการเมืองมีผลชัดเจนต่อทิศทางของหุ้นในกลุ่มนี้ นอกจากนี้ บริษัทที่มีการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้ในการพัฒนายา เช่น บริษัท Eli Lilly ที่ประสบความสำเร็จจากยาลดน้ำหนัก ก็สามารถสร้างรายได้มหาศาลและก้าวขึ้นมาเป็นบริษัทที่มี Market Cap ใหญ่ที่สุดในสหรัฐและใหญ่ที่สุดในโลก

และอีกหนึ่งปัจจัยที่นักลงทุนควรพิจารณานอกเหนือจากประเด็นการเมืองคือการเติบโตของบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนานวัตกรรมทางการแพทย์ ในปัจจุบันเทคโนโลยีด้านสุขภาพเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในช่วงหลังการระบาดของโควิด-19 นักลงทุนให้ความสำคัญกับบริษัทที่สามารถปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี

เช่น การพัฒนายาใหม่ ๆ ที่สามารถตอบสนองต่อโรคที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว รวมถึงการนำระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามาช่วยในกระบวนการวิจัยและพัฒนา ส่งผลให้บริษัทในกลุ่ม Healthcare มีโอกาสในการสร้างรายได้อย่างยั่งยืนในอนาคต แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองก็ตาม

อีกทั้งยังมีแนวโน้มว่าบริษัทในกลุ่ม Healthcare ที่มีการเน้นการพัฒนานวัตกรรมทางเทคโนโลยีจะได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐมากขึ้น เนื่องจากเทคโนโลยีที่ทันสมัยช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ซึ่งบริษัทที่สามารถสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ในด้านการรักษาพยาบาลและสุขภาพจะเป็นที่ต้องการของตลาดในระยะยาว

ยิ่งไปกว่านั้น การเพิ่มการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ ๆ ยังช่วยลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ซึ่งส่งผลให้บริษัทมีศักยภาพในการแข่งขันได้ดียิ่งขึ้น

ซึ่งจากหลายปัจจัยที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่าหุ้นกลุ่ม Healthcare ในสหรัฐ ในปัจจุบันแตกต่างไปจากในอดีตอย่างมาก และในปีนี้แม้ว่าจะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีเกิดขึ้นก็ไม่ได้แปลว่าราคาหุ้นจะต้องผันผวนและปรับลดลงเหมือนในอดีต

ในทางกลับกันในปีนี้ช่วงที่เหลือของปีเมื่อเกิดสถานการณ์ที่ Fed กำลังจะลดดอกเบี้ยและเศรษฐกิจสหรัฐดูเหมือนจะเติบโตได้ชะลอลง หุ้นในกลุ่ม Healthcare น่าจะมีโอกาสเป็นอีกหนึ่งกลุ่มที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้อย่างโดดเด่นทั้งในระยะยาวและในช่วงที่เหลือของปี