ส่องเทรนด์ลงทุน “หุ้น-ทอง-บอนด์” รับปัจจัย “เฟด” หั่นดอกเบี้ย

investment

แล้วก็ถึงเวลาที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับลดดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบ 4 ปี โดยลดถึง 0.50% ซึ่งตลาดต่างคาดการณ์ว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะรอบหน้า ก็อาจจะลดอีก 0.50% แต่ก็มีบางส่วนที่มองว่า จะลดแค่ 0.25% แต่ปี 2567 นี้ ทั้งปีน่าจะลดรวมแล้ว 1-1.25% ทั้งนี้ นักลงทุนอาจจะปรับการลงทุนให้เหมาะสมกับภาวะที่ดอกเบี้ยกำลังกลับตัวเป็น “ขาลง” นี้

หุ้นตลาดเกิดใหม่น่าลงทุน

“ชยนนท์ รักกาญจนันท์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน (บลน.) ฟินโนมีนา กล่าวว่า สินทรัพย์ที่น่าลงทุนช่วง 2-3 เดือนข้างหน้า มองว่าตลาดหุ้นฝั่ง Emerging Market จะน่าสนใจ

ทั้งนี้ หากการลดดอกเบี้ยของเฟด ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐชะลอไม่รุนแรง (Soft Landing) ประเมินว่า ตลาดหุ้นจะปรับตัวขึ้นได้ โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยี, AI ตามด้วยหุ้น Defensive อย่างกลุ่ม Healthcare, Financial เป็นต้น

ขณะเดียวกัน หากการลดดอกเบี้ย เป็นสัญญาณว่า เศรษฐกิจสหรัฐกำลังจะชะลอตัวแบบรุนแรง (Hard Landing) อย่างที่นักลงทุนต่างกังวลกันว่าจะเสี่ยงเข้าสู่สภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ประเมินว่า ทุกตลาดหุ้นจะปรับตัวลดลงอย่างแน่นอน

จับตาตัวเลขจ้างงานสหรัฐต่อ

โดยหากดูจากถ้อยแถลงของเฟดค่อนข้างชัดเจน ว่าเฟดไม่ได้กังวลเงินเฟ้อ แต่สิ่งที่เฟดกังวลมากกว่า คือกังวลตลาดแรงงาน จึงต้องลดดอกเบี้ยให้เร็ว ดังนั้น หลังจากนี้ 1-2 เดือนข้างหน้า มองว่าตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตร และอัตราการว่างงานของสหรัฐ จะสำคัญกับตลาดขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง

“ในระหว่างนี้ ตลาดน่าจะปรับตัวขึ้นไปก่อนในระยะ 1-2 เดือน หากตัวเลขการจ้างงานยังออกมาไม่ดี ตลาดอาจจะไปกังวลเรื่อง Recession ต่อไป และจะเกิดการปรับฐานได้ ขณะที่ถ้าตัวเลขการจ้างงานออกมาดี ตามที่เฟดประเมินไว้ มองว่าตลาดจะทำ New High ได้อย่างน้อยถึงต้นปี 2568”

ADVERTISMENT

ลุ้น ธปท.ลดดอกเบี้ยหนุน SET

“ชยนนท์” กล่าวว่า สถิติก่อนหน้านี้ เฟดมักจะเป็นประเทศแรกที่ลดดอกเบี้ย แล้วประเทศอื่นจึงลดตาม แต่รอบนี้มีประเทศที่ลดดอกเบี้ยก่อนเฟด เช่น แคนาดา และฝั่งยุโรป ขณะที่ธนาคารกลางฝั่งเอเชีย รวมถึงประเทศไทย รอการปรับลดดอกเบี้ยของเฟดก่อน ดังนั้น แรงกดดันต่อธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ให้ลดดอกเบี้ยตามเฟด จะสูงมากขึ้น ภายใน 3 เดือนหลังจากนี้ ซึ่งจะเป็นผลบวกต่อตลาดหุ้นไทยด้วย และมีโอกาสปรับขึ้นต่อได้ มองเป้าดัชนี SET ที่ 1,480-1,500 จุด

ตราสารหนี้ระยะยาวได้ประโยชน์

ส่วนตราสารหนี้ “ชยนนท์” กล่าวว่า ตราสารหนี้ระยะสั้นจะถูกแรงเทขายก่อน เนื่องจากตลาดยังคาดการณ์ว่าปีนี้เฟดจะลดดอกเบี้ยถึง 1.25% แต่หากดูจากการประมาณการ Fed Dot Plot น่าจะลดเพียง 1.00% จึงทำให้อัตราผลตอบแทนที่ได้รับจากการลงทุน (Yield) จะเด้งขึ้น ทำให้ราคาตราสารหนี้จะมีแรงเทขายออกมา แต่หากดูจากฐานของดอกเบี้ย ปีหน้าเฟดคงลดดอกเบี้ย ทั้งปี 2568 แปลว่า เทรนด์ดอกเบี้ยเป็นขาลงแน่นอน ตราสารหนี้ระยะยาว จึงได้ประโยชน์

ADVERTISMENT

แนะเลี่ยงหุ้น Global Cyclicals

“วิกิจ ถิรวรรณรัตน์” ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน สายงานวิจัย บล.บัวหลวง กล่าวว่า การปรับลดดอกเบี้ยเฟดเป็นการส่งสัญญาณให้นักลงทุนเตรียมระวังไว้ สำหรับตลาดหุ้นสหรัฐ หากมีการชะลอตัวรุนแรงและเกิดภาวะถดถอย ตลาดหุ้นไทยคงไม่ได้ลงแรงเท่าสหรัฐ โดยที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยลงมาก่อน และมีกองทุนวายุภักษ์ และกองทุน Thai ESG เข้ามาช่วยได้ในระดับหนึ่ง

“ตอนนี้เราก็เหมือนติดอาวุธ ถ้ามีการขายลงมา เชื่อว่าเรารับอยู่ ตรงบริเวณ 1,300-1,400 จุด โดยมองว่าปีนี้หุ้นไทยผ่านจุดต่ำสุด เพียงแต่จะขึ้นไปถึงไหน ต้องรอดู หากมีการโยกเป็นเงินลงทุนในช่วงที่สหรัฐอยู่ในช่วงขาลง เราอาจจะได้เห็นแนวโน้มที่หุ้นไทยเป็นขาขึ้น โดยมองปีนี้หุ้นไทยจะแตะที่ 1,500 จุดได้ ซึ่งเราอาจจะต้องลดน้ำหนักลงของหุ้นสหรัฐ เพิ่มสินทรัพย์ทางเลือก เช่น พันธบัตรระยะยาว ตลาดหุ้น โดยเฉพาะตลาดเกิดใหม่”

“ณัฐชาต เมฆมาสิน” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทรีนีตี้ กล่าวว่า ช่วงนี้ตลาดหุ้นไทย แนะนำหลีกเลี่ยงหุ้นกลุ่ม Global Cyclicals ไปอีกระยะ เช่น กลุ่มน้ำมันและปิโตรเคมี แม้ Valuation ส่วนใหญ่ของหุ้นกลุ่มนี้จะยังอยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย แต่ความกังวลด้านเศรษฐกิจโลกชะลอตัวมีโอกาสที่จะกดดันราคาต่อไปได้

ดังนั้น หากต้อง Selective แนะนำโฟกัสการลงทุนไปที่กลุ่ม Domestic Play เช่น ค้าปลีก อสังหาฯ ไฟแนนซ์ ที่ยังคงมี Valuation ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยต่อไป

ทองคำลุ้นแตะ 2,700 เหรียญปีนี้

ขณะที่ “ฐิภา นววัฒนทรัพย์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG) กล่าวว่า หลังจากที่เฟดลดอัตราดอกเบี้ย ราคาทองคำตอบรับได้ดี และทำ New High ที่ 2,600 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ จากตลาดมองแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐยังไม่ดีอยู่ และมีการปรับย่อลงมา ซึ่งมองว่าเป็นแรงเทขายทำกำไรระยะสั้น อย่างไรก็ตาม โดยรวมยังมองว่าราคาทองคำยังเป็นขาขึ้น แนวต้านถัดไป 2,650-2,700 ดอลลาร์

“ต้องติดตามปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์ และกระแสการลดการถือเงินดอลลาร์ที่โยกมาถือทองคำ ซึ่งเราแนะนำว่า หากเห็นราคาทองปรับลดลงมาให้ทยอยสะสม การสะสมเป็นการเฉลี่ยซื้อ ควรมีทองคำเป็น 10% ในพอร์ตลงทุน”