ถอดบทเรียนภัยน้ำท่วมใหญ่ ธุรกิจประกันจ่อทบทวนเงื่อนไขรับประกัน

นางสาววสุมดี วสีนนท์

ถอดบทเรียนภัยน้ำท่วมใหญ่ คปภ. กางนโยบายเร่งสร้างความตระหนักรู้คนไทยใช้ประกันภัยบริหารความเสี่ยง พร้อมยกระดับตั้งศูนย์ปฏิบัติการด้านประกันรับมือภัยพิบัติในประเทศ ด้าน “สมาคมประกันวินาศภัยไทย” ชี้ธุรกิจต้องทบทวนเงื่อนไขผลิตภัณฑ์ประกันใหม่จากความเสี่ยงเปลี่ยน พร้อมแนะทำประกันเพื่อโอนความเสี่ยงให้บริษัทประกันดูแล หลังความเสียหายทางเศรษฐกิจสูง แต่เรียกร้องเคลมประกันต่ำ

วันที่ 4 ตุลาคม 2567 นางสาววสุมดี วสีนนท์ รองเลขาธิการด้านกำกับคนกลางและประกันภัยภูมิภาค สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) กล่าวในงานเสวนา ”สร้างการตระหนักรู้เพื่อรับมืออุทกภัยในยุคการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในปัจจุบัน“ ในหัวข้อเรื่อง ”อุตสาหกรรมประกันภัย และบทบาทในการบริหารความเสี่ยงเพื่อรับมือภัยน้ำท่วม“ ว่า การเกิดน้ำท่วมใหญ่ในประเทศไทยเมื่อเทียบเหตุการณ์ในอดีตกับปีปัจจุบันจะมีอยู่ 3 สาเหตุหลักที่คล้ายคลึงกันคือ 1. น้ำฝน 2. น้ำเหนือ และ 3. น้ำหนุน

ถอดบทเรียนน้ำท่วมใหญ่ปี 2554

โดยเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่เมื่อปี 2554 ความรุนแรงส่งผลกับระบบเศรษฐกิจไทย คิดเป็นประมาณ 1.43 ล้านล้านบาท เป็นความเสียหายที่ได้รับความคุ้มครองจากการประกันภัย 4.9 แสนล้านบาท ฉะนั้นจะเห็นว่า Gap ของความเสียหายของประเทศกับที่ได้รับความคุ้มครองจากการประกันภัยห่างกันมาก

และครั้งนั้นเป็นลักษณะน้ำท่วมขังอยู่เป็นเดือน ๆ และพื้นที่ส่วนใหญ่ที่ถูกน้ำท่วมเป็นนิคมอุตสาหกรรมทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นส่งผลต่อความเสียหายทางเศรฐกิจไทยค่อนข้างมาก ภาครัฐเองมีความกังวลโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่ต่างชาติลงทุนในประเทศไทย โดยเวลานั้นรัฐบาลมีการแก้ไขปัญหาในหลายมิติคือ เจรจากับผู้ลงทุนญี่ปุ่น และในส่วนของประกันภัย ผู้เสียหายหนักเวลานั้นคือบริษัทที่รับประกันโรงงานญี่ปุ่น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบริษัทประกันสัญชาติญี่ปุ่น รวมถึงบริษัทประกันชั้นนำของไทยและยุโรปด้วย

ตอนนั้น คปภ. กังวลความสามารถในการบริหารจัดการความเสี่ยงของประเทศไทย สิ่งที่ คปภ. ดำเนินการมีหลายมิติคือ 1. เจรจากับบริษัทประกันภัยต่อ (รีอินชัวเรอร์) ให้ยังคงต้องรับประกันภัยในประเทศไทย แต่สิ่งที่ได้รับตอบกลับมาคือ จะขอขึ้นเบี้ยประกันจาก 0.5% มาเป็น 15% หรือบางบริษัทขอถอนตัวจากการรับประกันในประเทศไทยไปเลย และ 2. เจรจาบริษัทประกันญี่ปุ่นต้องมีกระบวนการจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้รวดเร็วกับ

และสำคัญที่สุดคือรัฐบาลไทยจัดตั้งกองทุนภัยพิบัติ มูลค่ากองทุน 50,000 ล้านบาท โดยความคาดหวังของการตั้งกองทุนเวลานั้นคือ ทำให้รีอินชัวเรอร์มั่นใจว่าประเทศไทยมีมาตรการรองรับ และภายใน 1 ปีหลังจัดตั้งกองทุนก็สามารถดึงเบี้ยประกันภัยต่อที่เคยขึ้นไปถึง 15% กลับมาสู่ภาวะปกติได้ และบริษัทประกันภัยต่อสามารถเข้ามารับประกันภัยทั้งหมดต่อไปได้ และการจ่ายค่าสินไหมทดแทนทั้งหมดก็เกิดขึ้นภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว และภาคธุรกิจสามารถกลับมาดำเนินการตามปกติภายในระยะเวลาที่กำหนด

ADVERTISMENT

คปภ. เร่งสร้างความตระหนักรู้คนไทยเรื่องประกัน

นางสาววสุมดี กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ดีในอนาคต คปภ. ต้องมาพูดคุยมากขึ้นว่าการตระหนักรู้การใช้ประกันภัยเป็นเครื่องมือบริหารความเสี่ยงมีมากน้อยแค่ไหน ซึ่งจากสถิติปี 2554 จะเห็นว่ามีการทำประกันแค่ 1 ส่วน 4 เท่านั้นของความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งประเทศ และปี 2567 ความเสียหายทางเศรษฐกิจจากภัยน้ำท่วมในพื้นที่ อ.แม่สาย จ.เชียงราย รอบละ 30,000 ล้านบาท รวม 60,000 ล้านบาท แต่สถิติเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนต่ำมาก ไม่ถึง 1,000 ล้านบาท (ข้อมูลสิ้นเดือน ก.ย. 2567) ดังนั้นการสร้างการตระหนักรู้เรื่องการทำประกันภัยคงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง ซึ่งต้องใช้ดาต้าและเทคโนโลยีเข้ามาเสริม

ซึ่งตอนนี้ คปภ. มีข้อมูลที่เรียกว่าระบบฐานข้อมูลกลางด้านประกันภัย (IBS) ที่จะตรวจสอบได้ว่ามีการทำประกันประเภทไหนบ้าง ซึ่งดูข้อมูลได้เชิงลึกถึงระดับหมู่บ้าน ดังนั้นการเชื่อมโยงข้อมูลร่วมกันกับพื้นที่แนวโน้มที่จะเกิดภัยต่าง ๆ ก็เป็นเรื่อเร่งด่วนที่จะต้องดำเนินการ นอกจากนี้ต้องร่วมมือกับภาครัฐอื่น ๆ อีกมากในการลงทุนไปสร้างความตระหนักรู้ในเรื่องนี้

นางสาววสุมดี วสีนนท์

ยกระดับตั้งศูนย์ปฏิบัติการด้านประกันรับมือภัยพิบัติ

“สำหรับน้ำท่วมพื้นที่ภาคเหนือในปี 2567 คปภ. ตื่นตัวมากและมีการเตรียมความพร้อมอยู่ในระดับหนึ่ง โดยมีศูนย์ประสานงานช่วยเหลือผู้เอาประกันภัยในจังหวัดต่าง ๆ และได้รับความร่วมมือที่หลั่งไหลมาจากภาคอุตสาหกรรมประกันภัยในทันที หลังจากนั้นได้ยกระดับความช่วยเหลือระดับจังหวัดเป็นระดับประเทศ โดยตั้งศูนย์ปฏิบัติการด้านการประกันภัยเพื่อบริหารจัดการและช่วยเหลือประชาชนในสถานการณ์ภัยพิบัติ และมีมาตรการติดต่อประสานงานกับบริษัทประกันภัยทุกแห่งในเรื่องการเตือนภัยระดับจังหวัด

รวมถึงมีมาตรการการผ่อนผันการชำระเบี้ยประกันให้กับผู้ได้รับความเสียหายจากภัยน้ำท่วม และออกคำสั่งให้บริษัทประกันสามารถชดใช้ภัยธรรมชาติได้ก่อนคือมูลค่า 20,000 บาท ในกรณีเป็นกรมธรรม์อัคคีภัย และ 10,000 บาท กรณีเป็นกรมธรรม์ไมโครอินชัวรันส์ ซึ่งสามารถช่วยประชาชนในเบื้องต้นได้มาก” นางสาววสุมดี กล่าว

ธุรกิจประกันจ่อทบทวนเงื่อนไขรับประกัน

ดร.พงษ์ภาณุ ดำรงศิริ ผู้อำนวยการบริหาร สมาคมประกันวินาศภัยไทย กล่าวว่า น้ำท่วมใหญ่ปี 2554 เป็นลักษณะที่น้ำค่อย ๆ ไหลมา ซึ่งยังส่งสัญญาณให้คนขนของย้ายรถหนีได้ทัน ดังนั้นความเสียหายที่เกิดขึ้นอาจจะไม่ได้สะท้อนความเสียหายทั้งหมด เมื่อเทียบกับปัจจุบันซึ่งเป็นน้ำท่วมฉับพลัน (flash flood) อย่างไรก็ดีจากปี 2554 ธุรกิจประกันวินาศภัยได้เรียนรู้ในการดู flood zone ว่าเป็นอย่างไรเพื่อนำมาพิจารณาแนวทางรับประกัน

แต่อย่างไรก็ตามปัจจุบันต้องยอมรับว่าการพิจารณา flood zone เพียงอย่างเดียวอาจจะไม่เพียงพอ อาจต้องดูไปถึงเขตพรมแดนโดยต้องร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน เพราะจะเห็นว่าน้ำท่วมรอบนี้ไหลผ่านมาจากประเทศเพื่อนบ้านด้วย รวมถึงจากความรุนแรงของพายุที่เกิน 150 กิโลเมตร/ชั่วโมง ต่อไปจะเหมือนกลายเป็นเรื่องปกติ นอกจากนี้ภัยน้ำท่วมรอบนี้เป็นลักษณะน้ำที่มาพร้อมกับโคลน ดังนั้นต่อไปการพิจารณารับความเสี่ยงกับการออกแบบผลิตภัณฑ์ประกันอาจจะไม่เหมือนเดิม

”เมื่อก่อนนี้บอกว่ารถน้ำท่วม เอารถไปล้างทำความสะอาด ซ่อมได้ วันนี้รถติดโคลนอยู่เอาออกไม่ได้ และในรถก็มีโคลนด้วย หรือซ่อมบ้าน เดิมแค่ซ่อมสีปรับปรุง แต่วันนี้บ้านพักอาศัยไม่ได้ อาจต้องคำนึงถึงค่าใช้จ่ายในการหาที่พัก เอาโคลนออก นี่คือความเสียหายที่มันเปลี่ยนไป ทำให้การออกแบบผลิตภัณฑ์ประกันนับจากนี้ คงต้องเปลี่ยนไปด้วย“ ดร.พงษ์ภาณุ กล่าว

ทั้งนี้จากความเสียหายทางเศรษฐกิจที่สูง สวนทางการเรียกร้องเคลมสินไหมจากประกันภัยที่ต่ำ สะท้อน Protection Gap สูงมาก ดังนั้นในภาคสมาคมเองต้องพยายามเข้าไปให้ความรู้ประชาชน ให้ใช้เครื่องมือประกันภัยเป็นการโอนความเสี่ยงให้บริษัทประกันภัย

ซึ่งการพูดคุยกันในวันนี้แค่ภัยน้ำท่วม ยังไม่ได้มองถึงภัยแล้งและไฟไหม้ หน้าตาเป็นอย่างไร แต่ต้องเน้นย้ำว่ากรมธรรม์อัคคีภัย คุ้มครองทั้งเรื่องไฟไหม้และขยายเรื่องน้ำท่วมด้วย ซึ่งตรงนี้ประชาชนอาจจะยังไม่ค่อยทราบกัน