ออมสินโหม Social Bank ผุดบริษัทเงินกู้ออนไลน์ดอกเบี้ยต่ำ

วิทัย รัตนากร
วิทัย รัตนากร
สัมภาษณ์

ธนาคารเพื่อสังคม (Social Bank) ภายใต้การขับเคลื่อนของ “วิทัย รัตนากร” ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน ที่มีคอนเซ็ปต์การดำเนินงานโฟกัสการ “ช่วยคน” มากกว่ามุ่งทำ “กำไรสูงสุด” ถูกขับเคลื่อนมาจนเข้าสู่ปีที่ 5 แล้ว หรือเรียกได้ว่า กำลังเข้าสู่ยุคสมัยที่ 2

“ออมสิน จะช่วยสังคมมากขึ้นอีก” นี่เป็นคำประกาศพันธกิจในการทำงานวาระที่ 2 ของ “วิทัย”

Social Bank ยุคเริ่มต้น

“วิทัย” เล่าย้อนว่า เมื่อ 4 ปีที่แล้ว ได้เริ่มต้นธนาคารเพื่อสังคม ซึ่งพยายามตอกย้ำเรื่องนี้มาตลอด ด้วยการทำธุรกิจ 2 ส่วนไปพร้อมกันคือ นำกำไรจากการทำธุรกิจเชิงพาณิชย์มาอุดหนุนภารกิจเชิงสังคม อาจมีกำไรน้อยหรือขาดทุน แต่สามารถช่วยคนได้หลายล้านคน อย่างในช่วงโควิด ธนาคารออมสินมีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือคนจำนวนมาก

“เมื่อปีที่แล้ว ผมได้ประกาศแนวคิดเรื่อง Creating Shared Value คือการเอาปัจจัยทางสังคมมาบูรณาการเข้าไปในโปรดักต์การเงินและโปรเจ็กต์สำคัญของธนาคาร และตั้งเป้าจะวัดผลการทำ CSV เป็นเงินมูลค่าไม่ต่ำกว่าปีละ 15,000 ล้านบาท ซึ่งต้องขอบคุณรัฐบาล ที่ได้ปรับตัวชี้วัดของธนาคารออมสินเป็นไม่มุ่งเน้นเรื่องกำไรว่าสำคัญที่สุด”

ไม่เน้นโกยกำไรสูงเกินไป

“วิทัย” กล่าวว่า เมื่อปี 2566 ที่ผ่านมา ธนาคารมีกำไร 33,000 ล้านบาท ถือว่าเป็นระดับที่ค่อนข้างสูง ซึ่งตนคิดว่าธนาคารออมสินควรจะมีกำไรแบบพอเหมาะพอสม ปีละไม่เกิน 25,000 ล้านบาท นับจากนี้ไป แล้วก็นำเงินส่วนที่เหลือไปสร้างผลลัพธ์เชิงบวกต่อสังคม (Social Impact) ทั้งช่วยคนและสังคม น่าจะเป็นคอนเซ็ปต์ที่ถูกต้องมากกว่า

“ไม่ใช่ว่าเราจะไม่กำไร แต่มีกำไรโตแบบที่เหมาะสมก็พอแล้ว ก่อนผมมาทำงานที่ธนาคารออมสิน มีกำไรปีละประมาณ 25,000 ล้านบาท ยกเว้นปีพิเศษบางปีที่ไม่ต้องสำรองหนี้มาก อาจจะมีกำไรได้ถึง 30,000 ล้านบาท แต่ยุคนี้ต้องสำรองหนี้ทุกปี ปีละ 10,000-20,000 ล้านบาท”

คาดปีนี้กำไร 2.5-2.7 หมื่นล้าน

สำหรับในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2567 ธนาคารออมสินมีกำไร 18,000 ล้านบาท เป็นกำไรที่สำรองหนี้แล้ว ซึ่งถือว่าสูงมาก และคาดว่าถึงสิ้นปีนี้จะมีกำไรประมาณ 25,000-27,000 ล้านบาท โดยจะมีการตั้งสำรองส่วนเกินไว้ 73,000 ล้านบาท สามารถรองรับหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) จากสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกัน (Clean Loan) ได้สบาย ๆ ถึงระดับ 100,000 ล้านบาท

ADVERTISMENT

3 ภารกิจหลักธนาคารเพื่อสังคม

“วิทัย” กล่าวว่า ภารกิจของธนาคารออมสินที่ทำอยู่หลัก ๆ คือ 1.ดึงคนเข้าสู่ระบบ (Financial Inclusion) ยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดคือ การปล่อยสินเชื่อช่วงโควิด คนละ 10,000 บาท อนุมัติปล่อยกู้ไปทั้งหมด 2 ล้านบัญชี ซึ่งเป็นคนที่มีเครดิตต่ำเกณฑ์ หรือไม่มีเครดิต จำนวน 1.2 ล้านบัญชี ผ่อนคืนได้หมดภายใน 3 ปี

แต่อีก 8 แสนบัญชี มูลหนี้ราว 5,000 ล้านบาท เป็น NPL บางคนติดหนี้เหลืออยู่แค่ 3,000-5,000 บาท ซึ่งคนกลุ่มนี้จะขอกู้ที่ไหนไม่ได้เลยอีก 8 ปี เพราะติดประวัติเครดิต

“สิ่งที่ธนาคารออมสินดำเนินการ คือยกหนี้ให้ไปเลย เพื่อจะทำให้คนเหล่านี้เข้าสู่ระบบได้ ที่ผ่านมายกหนี้ไปแล้ว 7 แสนบัญชี เร็ว ๆ นี้จะดำเนินการส่วนที่เหลือทั้งหมด โดยในเดือน พ.ย.นี้ ออมสินจะได้รับเงินจากรัฐบาลครบ”

2.การแก้ปัญหาหนี้สิน ภารกิจนี้เป็นสิ่งที่ทำมาต่อเนื่อง ทั้งการช่วยแก้หนี้ครู หนี้ข้าราชการ และหนี้คนทั่วไป นอกจากนี้ยังได้ปรับเกณฑ์ภายในเรื่องการฟ้องล้มละลาย ต่อไปคนถูกฟ้องล้มละลายจะถูกฟ้องยากขึ้น โดยเฉพาะผู้ค้ำประกัน

จากนี้ไปจะเห็นจำนวนเคสฟ้องล้มละลายของธนาคารออมสินปักหัวลง ส่วนการฟ้องแพ่งเล็กน้อย ๆ ก็คงไม่ทำ เพราะทำไปไม่ได้อะไร และ 3.สนับสนุนรัฐบาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการสินเชื่อต่าง ๆ

ยุคที่ 2 บริหารแบบ “กลุ่มธุรกิจ”

สำหรับการขับเคลื่อนธนาคารออมสินในยุคที่ 2 “วิทัย” บอกว่า เริ่มมาได้ประมาณ 3 เดือนแล้ว แม้มีขอบเขตจำกัดภายใต้พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ธนาคาร แต่ออมสินเป็นธนาคารรัฐภายใต้ใบอนุญาต Universal Bank ซึ่งทำได้ทุกอย่างเทียบเคียงกับธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ในทุกมิติ จึงได้ขยายขีดความสามารถในการช่วยคนและสังคม เริ่มบริหารงานเป็นกลุ่มธุรกิจ (GSB Group) รายแรกในกลุ่มแบงก์รัฐ

“ที่ผ่านมา ออมสินได้ร่วมลงทุนกับ บมจ.ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น (SAWAD) เพื่อเข้าไปแข่งขันในธุรกิจจำนำทะเบียนรถจักรยานยนต์ โดยลดดอกเบี้ยลงทันที 10% จาก 28% ต่อปี เหลือ 16-18% ซึ่งทำจนสำเร็จ ดอกเบี้ยในตลาดลงทันที ปล่อยกู้ไป 2 ล้านบัญชี และทั้งตลาด 5 ล้านบัญชีจ่ายดอกเบี้ยลดลง แต่เนื่องจากตามสิทธิต้องขายหุ้นคืน อย่างไรก็ตาม เราพร้อมจะเข้าไปแข่งใหม่ หากมีใครดึงดอกเบี้ยขึ้นไปอีก”

ขณะเดียวกัน ออมสินได้จัดตั้ง บริษัท มีที่มีเงิน จำกัด ซึ่งธนาคารถือหุ้น 49% เพื่อช่วยเอสเอ็มอีช่วงโควิดที่มีที่ดิน แต่ไม่มีกระแสเงินสด โดยปล่อยกู้ไปกว่า 20,000 ล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ยต่ำ 7-9% ซึ่งก็มีกำไร และใช้บริษัทนี้เป็นโฮลดิ้ง ถือหุ้นบริษัทลูกอื่น ๆ ในสัดส่วน 51% เพื่อควบคุมกิจการ

นอกจากนี้ยังได้จัดตั้ง บริษัท จีเอสบี ไอที แมเนจเมนท์ จำกัด เป็นที่ปรึกษา ทำเรื่องปัญญาประดิษฐ์ (AI) ดิจิทัลและโมบายแอปพลิเคชั่น ซึ่งจะช่วยขีดความสามารถของธนาคารออมสินได้มาก จะเริ่มเห็นผลตั้งแต่ปี 2568 เป็นต้นไป

โอนหนี้ ARI-AMC 3 หมื่นล้าน

“วิทัย” กล่าวว่า ไม่นานนี้ บริษัท บริหารสินทรัพย์ อารีย์ (ARI-AMC) ที่แบงก์ตั้งขึ้นมา เพิ่งได้รับใบอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ล่าสุดออมสินได้โอนหนี้สินเชื่อที่เป็น NPL ให้กับ ARI-AMC นำไปเข้ากระบวนการปรับโครงสร้างหนี้ หรือไกล่เกลี่ยหนี้ ด้วยเงื่อนไขที่ผ่อนปรนมากขึ้น

โดยโอนหนี้ลอตแรกไป 1.3 แสนบัญชี วงเงิน 11,000 ล้านบาท ทั้งสินเชื่อที่มีประกันและไม่มีหลักประกัน และลูกหนี้มีบัญชี 1 บัญชีต่อราย และจะโอนหนี้ที่เหลือภายในต้นปี 2568 ทำให้รวมแล้วจะช่วยลูกหนี้ทั้งหมด 4 แสนบัญชี วงเงิน 30,000 ล้านบาท

“แนวทางนี้แก้หนี้ได้เร็ว ซึ่งอาจจะถามว่าทำไมไม่ขายหนี้ออกไปเลย ต้องบอกว่าหนี้รายย่อยขายยาก และไม่มีใครรับ เพราะไม่คุ้ม”

ลุยธุรกิจใหม่ “พีโลน” ดอกต่ำ

“วิทัย” กล่าวว่า ล่าสุดออมสินได้จัดตั้ง บริษัท เงินดีดี จำกัด ขึ้นมา เพื่อให้บริการสินเชื่อส่วนบุคคลกลุ่มลูกค้าฐานราก โดยได้ใบอนุญาตมา 2 ไลเซนส์ คือ 1.ใบอนุญาต Nonbank จะคิดดอกเบี้ย 22-24% ต่อปี แล้วแต่เซ็กเมนต์ตามความเสี่ยง และ 2.ใบอนุญาตนาโนไฟแนนซ์ จะคิดดอกเบี้ย 28-32% ต่อปี ซึ่งต่ำกว่าเกณฑ์

โดยได้พัฒนาแอปพลิเคชั่น Good Money ขึ้น เพื่อดำเนินการปล่อยสินเชื่อดิจิทัล (Digital Lending) ซึ่งจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการต้นเดือน พ.ย.นี้

“ต่อไปนี้เวลามีสินเชื่อกลุ่มเสี่ยงเดินเข้ามาหาธนาคารออมสิน แล้วธนาคารปล่อยให้ไม่ได้เพราะเสี่ยงเกินไป ก็จะส่งไปให้เงินดีดีปล่อยกู้แทน ดีกว่าให้คนกลุ่มนี้ไปสู่หนี้นอกระบบ โดยตั้งเป้าให้ช่วยคนให้ได้จำนวนมากที่สุด ปีแรกคาดหวัง 1 แสนราย อย่างไรก็ตาม ในทางบัญชีบริษัทนี้อาจจะขาดทุนในช่วง 3 ปีแรก เพราะปล่อยสินเชื่อกลุ่มเสี่ยง”

“เราจะดูแลสังคม จะพยายามดูแลกลุ่มลูกค้าให้ได้ทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นเอสเอ็มอี หรือฐานรากที่เข้าไม่ถึงแหล่งทุน ซึ่งการแข่งขันในระยะยาวของธนาคารออมสิน บวกกับ 4 บริษัทลูก คิดว่าเพียงพอแล้ว นอกจากเห็นความจำเป็นต้องทำอะไรเพิ่มเติม ก็ค่อยว่ากัน” ผู้อำนวยการธนาคารออมสินกล่าว