หุ้นไทย-หุ้นโลก แกว่งขึ้นลงตามผลเลือกตั้งสหรัฐ “ทรัมป์” ชนะสัญญาณอันตราย ดัชนี SET อาจลงไปเทรดบริเวณ 1,400 จุด ค่าเงินบาทอ่อนค่า 1 บาท หุ้นใหญ่ SET50 เผชิญแรงขายทำกำไร แนะนักลงทุนสวิทซ์มาอยู่ในหุ้นกลาง-หุ้นได้ประโยชน์เงินบาทอ่อนค่า AMATA, PRM, ITC
ตลาดหุ้นไทยสัปดาห์ที่ผ่านมา (28 ต.ค.-1 พ.ย.) ปรับตัวลง โดย “สรพล วีระเมธีกุล” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าทีมกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ดัชนี SET ปรับตัวลงมาประมาณ 40 จุด จากระดับ 1,500 จุด ลงมาอยู่ราว 1,460 จุด ภาพหลัก ๆ เป็นผลจากเรื่องคะแนนเสียงส่วนใหญ่ของ “โดนัลด์ ทรัมป์” พลิกกลับมานำ “คามาลา แฮร์ริส” โดยเฉพาะใน Swing Stage 6 จาก 7 รัฐ เป็นเหตุผลทำให้ Dollar Index และบอนด์ยีลด์สหรัฐปรับตัวเพิ่มขึ้น เป็นแรงกดดันตลาดหุ้นในฝั่งตลาดเกิดใหม่ (EM) รวมถึงตลาดหุ้นไทย
ประเด็นถัดมาคือเรื่องผลประกอบการของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ รวมถึงแนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงไตรมาส 1 ปี 2568 ส่งผลให้กลุ่มธนาคารในปีหน้าจะมีดาวน์ไซด์ของผลกำไรประมาณ 5-7% โดยกำไรที่ถูกปรับฐานลงมาจะส่งผลกระทบต่อกำไรต่อหุ้น (EPS) ของ SET Index ปีหน้าประมาณ 1.5 จุด
และมองไปในช่วงสัปดาห์หน้า (4-8 พ.ย.) เชื่อว่าตลาดหุ้นทั่วโลกจะรอผลการเลือกตั้งสหรัฐเพียงเรื่องเดียว เพราะเป็นเรื่องใหญ่สุด ซึ่งอาจจะมีการดีเลย์ในการทราบผล จากวันพุธ (6 พ.ย.) เป็นประมาณวันที่ศุกร์ (8 พ.ย.) หรืออย่างช้า 9-12 พ.ย. ซึ่งถ้า “โดนัลด์ ทรัมป์” ชนะเลือกตั้งจริง SET Index อาจจะลงไปเทรดในกรอบบริเวณประมาณ 1,400 จุด (บวก-ลบ) และค่าเงินบาทมีโอกาสอ่อนค่าประมาณ 1 บาท จากระดับปัจจุบันที่ 34.50 บาท
โดยหุ้นใหญ่ในดัชนี SET50 หลายตัวจะเผชิญแรงขายทำกำไร จึงแนะนำว่าให้นักลงทุนสวิทซ์มาลงทุนอยู่ในหุ้นกลาง หุ้นได้ประโยชน์จากเงินบาทอ่อนค่า เช่น AMATA, PRM, ITC
ในทางตรงกันข้ามหาก “คามาลา แฮร์ริส” ชนะเลือกตั้ง เชื่อว่า SET Index จะรีบาวนด์เหนือกรอบ 1,490 จุด และหุ้นที่ได้ประโยชน์คือหุ้นเข้ามารับโฟลว์ใหญ่ อาทิ CPAXT, CPALL, KTB, MTC, AAV
ส่วนปัจจัยในประเทศเรื่องมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ การแก้ปัญหาหนี้ เป็นเรื่องที่พูดคุยกันมานาน จึงไม่ได้มองเป็นประเด็นมาก แต่อาจจะเห็นเรื่องของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงเดือน พ.ย.-ธ.ค. ซึ่งจะพุ่งเป้าไปในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ หรือการเพิ่มกำลังซื้อให้กับคนต่างจังหวัด