ดอลลาร์แข็งค่า หลังตลาดคาดทรัมป์ชนะเลือกตั้ง

ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่า หลังตลาดคาดทรัมป์ชนะเลือกตั้ง

ฝ่ายค้าเงินตราต่างประเทศ ธนาคารกรุงเทพรายงานว่า ภาวะการเคลื่อนไหวของตลาดปริวรรตเงินตราประจำวันที่ 28 ตุลาคม-1 พฤศจิกายน 2567 ค่าเงินบาทเปิดตลาดวันจันทร์ (28/10) ที่ระดับ 33.77/78 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ทรงตัวจากระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (25/10) ที่ระดับ 33.78/79 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ โดยในช่วงต้นสัปดาห์ดอลลาร์สหรัฐปรับตัวแข็งค่าเทียบเงินสกุลหลัก โดยได้รับปัจจัยหนุนจากคาดการณ์ที่ว่านายทรัมป์จะชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ

นักวิเคราะห์ระบุว่า ชัยชนะของนายทรัมป์จะเป็นปัจจัยบวกต่อค่าเงินดอลลาร์ เนื่องจากแผนการปรับลดอัตราภาษี, การผ่อนคลายกฎระเบียบในภาคการเงิน รวมทั้งการตั้งกำแพงภาษีต่อการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากจีน นอกจากนี้มีการคาดการณ์ว่า มาตรการต่าง ๆ ของนายทรัมป์จะเป็นปัจจัยกระตุ้นเงินเฟ้อ ซึ่งจะส่งผลให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ชะลอการปรับลดอัตราดอกเบี้ย และจะหนุนให้ดอลลาร์แข็งค่าขึ้น

นอกจากนี้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐยังได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าของเงินเยนที่ถูกกดดันจากความไม่แน่นอนทางการเมืองในญี่ปุ่น หลังจากที่พรรครัฐบาลญี่ปุ่นสูญเสียเสียงข้างมากในการเลือกตั้งทั่วไป ก่อนที่ดอลลาร์จะลดแรงบวกลงมาในระดับใกล้เคียงเดิม หลังราคทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่ในประวัติการณ์ ทำให้ดอลลาร์ถูกลดความน่าสนใจลง

อย่างไรก็ตาม ในคืนวันพุธ (30/10) ดอลลาร์สหรัฐได้รับแรงหนุนหลังบริษัท ADP รายงานว่า การจ้างงานภาคเอกชนของสหรัฐพุ่งขึ้น 233,000 ตำแหน่งในเดือน ม.ค. หลังจากปรับขึ้น 159,000 ตำแหน่งในเดือน ก.ย. โดยตัวเลขของเดือน ต.ค.อยู่สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ในโพลล์รอยเตอร์ที่ 114,000 ตำแหน่ง

พร้อมทั้งเปิดเผยว่า ตัวเลขค่าจ้างเพิ่มขึ้น 4.6% ในเดือน ต.ค. เมื่อเทียบรายปี หลังจากเพิ่มขึ้น 4.7% ในเดือน ก.ย. อย่างไรก็ตาม ดอลลาร์สหรัฐได้รับแรงกดดันหลังสำนักงานวิเคราะห์เศรษฐกิจ (BEA) ในกระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของสหรัฐปรับขึ้น 2.8% ในไตรมาสสามเมื่อเทียบเป็นตัวเลขเต็มปี (Annualized) ซึ่งต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ในโพลล์รอยเตอร์ที่ระดับ 3.0% และชะลอตัวลงจากอัตราการเติบโตที่ 3.0% ในไตรมาสสอง

ADVERTISMENT

นอกจากนี้ค่าเงินดอลลาร์ยังได้รับแรงกดดันเพิ่มเติมหลังจากในวันพฤหัสบดี (31/10) กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานในวันพฤหัสบดีว่า ปริมาณการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคสหรัฐ ซึ่งครองสัดส่วนสูงกว่า 2 ใน 3 ของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในสหรัฐ ปรับขึ้น 0.5% ในเดือน ก.ย. หลังจากปรับขึ้น 0.3% ในเดือน ส.ค. และอยู่สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ที่ +0.4% สำหรับเดือน ก.ย.

ส่วนดัชนีราคาค่าใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ซึ่งถือเป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อที่เฟดนิยมใช้ ปรับขึ้น 0.2% ในเดือน ก.ย.เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากปรับขึ้น 0.1% ในเดือน ส.ค. ทั้งนี้ การอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐ และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐยังมีอยู่จำกัด หลังได้รับแรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ อาจจะชนะการเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ ในวันที่ 5 พ.ย.นี้

ADVERTISMENT

สำหรับปัจจัยภายในประเทศ สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์ (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ รายงานภาวะการค้าระหว่างประเทศของไทย ในช่วง 9 เดือนแรกปีนี้ (ม.ค.-ก.ย.) มีมูลค่ารวม 223,176 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 3.9% ส่วนการนำเข้า มีมูลค่ารวม 229,132 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 5.5% โดยภาพรวมไทยยังคงขาดดุลการค้าที่ 5,956 ล้านดอลลาร์ ผู้อำนวยการ สนค.มั่นใจว่า การส่งออกของไทยในปีนี้ มีโอกาสจะโตเกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 2%

ขณะที่มูลค่าการส่งออกทั้งปีก็มีแนวโน้มจะทำ New High แตะที่ 290,000 ล้านดอลลาร์ จากในปี 65 ที่เคยทำ New High ไว้แล้วที่ 287,000 ล้านดอลลาร์ จากการขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องในทุกกลุ่มสินค้า นอกจากนี้ นายพิชัย ชุณหวชิร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เข้าหารือกับ นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ในประเด็นเป้าหมายนโยบายการเงิน ปี 2568 (กรอบเงินเฟ้อ)

โดยหลังการพูดคุย นายพิชัยกล่าวกับสื่อว่า “คลังไม่ติดหากกรอบเงินเฟ้อจะอยู่ที่ 1-3% แต่ให้มีมาตรการอื่น ๆ เพื่อสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจ และมีผลทำให้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นไปได้ มาอยู่ในจุดที่เหมาะสม ใกล้เคียงกับกรอบคาดการณ์ เช่น 2% ปัจจัยที่จะให้เกิดการลงทุนเพิ่ม เรื่องแรกคืออัตราดอกเบี้ย ที่ต้องมาดู

ขณะที่นายปิติ ดิษยทัต รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า เรื่องค่าเงินไม่ได้เป็นเป้าหมายขั้นสูงสุด แต่เป็นเพียงตัวแปรหรือองค์ประกอบที่สำคัญตัวหนึ่งของภาวะการเงิน ที่จะนำไปสู่เป้าหมายสูงสุดในเรื่องการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในกรอบเป้าหมาย

ซึ่ง ธปท.ดูแล Monitor เรื่องค่าเงินอยู่แล้ว โดยเฉพาะเรื่องความผันผวนที่หากเกินเลยไปจากปัจจัยพื้นฐาน ทั้งนี้ค่าเงินบาทมีการเคลื่อนไหวระหว่างสัปดาห์อยู่ในกรอบระหว่าง 33.59-33.91 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ และปิดตลาดในวันศุกร์ (1/11) ที่ระดับ 33.88/89 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ

สำหรับความเคลื่อนไหวของค่าเงินยูโร เปิดตลาดวันจันทร์ (28/10) ที่ระดับ 1.0795/96 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโ อ่อนค่าขึ้นจากระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (25/10) ที่ระดับ 1.0826/27 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร จากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจของเยอรมนีจะไม่มีการเติบโตในปีนี้ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อแนวโน้มเศรษฐกิจของยูโรโซน โดยรวมส่งผลให้นักลงทุนคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะปรับอัตราดอกเบี้ยลงประมาณ 1.30% ภายในสิ้นปี 2568

ขณะที่คริสติน ลาการ์ด ประธาน ECB กล่าวว่า อัตราเงินเฟ้อในสหภาพยุโรปอาจลดลงสู่ 2% เร็วกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้านี้ โดยในวันพุธ (30/10) สำนักงานสถิติแห่งชาติฝรั่งเศส (INSEE) เปิดเผยว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 3/2567 ขยายตัว 0.4% จากไตรมาสก่อนหน้าที่ขยายตัว 0.2%

โดยได้รับแรงหนุนจากการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่ปารีส เนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่หลั่งไหลเข้ามาชมกีฬาโอลิมปิกช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายของผู้บริโภค ซึ่งเพิ่มขึ้น 0.5% ในไตรมาส 3/2567 หลังจากทรงตัวในไตรมาส 2/2567 ทั้งนี้ค่าเงินยูโรเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 1.0768-1.0888 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร และปิดตลาดในวันศุกร์ (1/11) ที่ระดับ 1.0863/64 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร

สำหรับการเคลื่อนไหวของค่าเงินเยน เปิดตลาดวันจันทร์ (28/10) ที่ระดับ 153.52/53 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่าจากระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (25/9) ที่ระดับ 151.98/99 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ โดยพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) พร้อมด้วยพรรคร่วมรัฐบาลญี่ปุ่นสูญเสียเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรจากการเลือกตั้งเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา นับเป็นความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ของนายกรัฐมนตรีชิเงรุ อิชิบะ ซึ่งตอนนี้ต้องหาเสียงสนับสนุนจากพรรคอื่นนอกเหนือจากพรรคร่วมรัฐบาลเดิม เพื่อให้สามารถบริหารประเทศได้อย่างมั่นคง ฝ่ายรัฐบาลได้ที่นั่งในสภาเพียง 215 จากทั้งหมด 465 ที่นั่ง ลดลงอย่างมากจากเดิมที่เคยมี 288 ที่นั่ง ทำให้ไม่สามารถรักษาเสียงข้างมากในสภาไว้ได้ตามเป้าหมาย

ผลการเลือกตั้งที่ย่ำแย่นี้สะท้อนให้เห็นว่าประชาชนไม่ไว้วางใจพรรค LDP มากขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากคดีอื้อฉาวเรื่องเงินทุนสำหรับให้สินบน (Slush fund) ถือเป็นสัญญาณการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของฐานเสียงที่เคยช่วยให้พรรคกลับมามีอำนาจในปี 2555 หลังจากที่ต้องเป็นฝ่ายค้านมาระยะหนึ่ง นอกจากนี้ในวันพฤหัสบดี (31/10) ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ได้ตัดสินใจที่จะคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นไว้ที่ 0.25% ท่ามกลางความไม่สงบทางการเมืองและความผันผวนของตลาด

โดยธนาคารกลางได้ส่งสัญญาณถึงจุดยืนที่จะระมัดระวังต่อการเปลี่ยนแปลงในโครงการกระตุ้นทางการเงิน เนื่องจากการสูญเสียเสียงข้างมากในรัฐสภา หลังการเลือกตั้งได้จุดประกายความกังวลเกี่ยวกับความขัดแย้งทางนโยบายที่อาจเกิดขึ้น

ซึ่งทำให้โอกาสในการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอนาคตซับซ้อนขึ้น โดยนักวิเคราะห์แนะนำว่า BOJ มีแนวโน้มที่จะหลีกเลี่ยงการเคลื่อนไหวเชิงรุกในการเพิ่มเงินกู้ยืมของญี่ปุ่น เนื่องจากไม่มีแรงกดดันด้านเงินเฟ้ออย่างมีนัยสำคัญและการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ละเอียดอ่อนของญี่ปุ่น โดยการคงอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ และ BOJ ได้คงคาดการณ์ว่า อัตราเงินเฟ้อจะทรงตัวใกล้เป้าหมาย 2% ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณความพร้อมที่จะถอนมาตรการกระตุ้นทางการเงินขนาดใหญ่ต่อไป

อย่างไรก็ตาม ค่าเงินเยนได้กลับมาแข็งค่าในระหว่างวันหลังนาย คาซูโอะ อุเอดะ ผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ได้จัดแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมนโยบายการเงินในวันนี้ (31/10) และส่งสัญญาณถึงความจำเป็นในการประเมินพัฒนาการทางเศรษฐกิจทั่วโลกอย่างรอบคอบ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า BOJ มุ่งเน้นไปที่การจับตาความเสี่ยงที่จะมีต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศ ก่อนที่จะตัดสินใจดำเนินนโยบายคุมเข้มด้านการเงินครั้งต่อไป พร้อมส่งสัญญาณว่า BOJ จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก หากเศรษฐกิจและเงินเฟ้อเคลื่อนไหวในทิศทางที่สอดคล้องกับการคาดการณ์

ทั้งนี้ค่าเงินเยนมีการเคลื่อนไหวระหว่างสัปดาห์อยู่ในกรอบ 51.77-153.86 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ และปิดตลาดในวันศุกร์ (1/11) ที่ระดับ 152.65/67 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ