
ตลาดหลักทรัพย์ เผยภาวะตลาดหุ้นไทยเดือน ต.ค. 67 ยืนบวกท็อป 3 เอเชีย ปิดที่บริเวณ 1,466.04 จุด เพิ่มขึ้น 1.2% จากสิ้นเดือน ก.ย. ‘ศรพล’ เชื่อหลังเลือกตั้งสหรัฐฟันด์โฟลว์ไหลกลับ ชูจุดขายเรื่อง Health and Tourism-เรื่องความยั่งยืน ชี้หุ้นทั่วโลกผันผวนหลังเลือกตั้งสหรัฐ แต่ SET มีปัจจัยช่วยหนุน ‘กำไร บจ.-เรื่องการย้ายฐานการผลิต’ จากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์-ความต้องการเรื่องพลังงานสะอาด
นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร และโครงการกลยุทธ์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยในงาน “สรุปภาพรวมภาวะตลาดหลักทรัพย์ เดือน ต.ค. 2567” ว่า ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา (ก.ย.-ต.ค.) ดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ต่อเนื่องจาก 1.มีความชัดเจนเรื่องการเมืองในประเทศ 2.มีมาตรการสนับสนุนตลาดทุนผ่านการจัดตั้งกองทุนวายุภักษ์ มูลค่า 1.5 แสนล้านบาท และกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (TESG) ที่สามารถซื้อกองทุนเพื่อใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้

และ 3.การปรับลดดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ระดับ 0.25% ซึ่งจะเป็นแรงส่งต่อดัชนี SET ได้ต่อเนื่อง
ทำให้สิ้นเดือน ต.ค. 2567 ดัชนี SET ปิดที่บริเวณ 1,466.04 จุด ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.2% จากสิ้นเดือน ก.ย. ซึ่งเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาค โดยตลาดหุ้นในหลายประเทศดัชนีติดลบ แต่ดัชนี SET ยืนเป็น 1 ใน 3 ของตลาดหุ้นภูมิภาคที่ปรับตัวขึ้นได้ ทำให้เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2566 ดัชนี SET ปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.5%
แต่อย่างไรก็ดีในเดือน ต.ค. ซึ่งเป็นช่วงก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ทำให้ความผันผวนในตลาดหุ้นเกิดขึ้นอีกครั้ง ทำให้แม้ว่าตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวขึ้นแต่ภาพของเม็ดเงินลงทุนต่างชาติ (Fund Flow) พลิกเป็นไหลออก 2.79 หมื่นล้านบาท แต่อย่างไรก็ตามไม่ใช่เฉพาะตลาดหุ้นไทยเพียงอย่างเดียว แต่ฟันด์โฟลว์ไหลออกทั้งตลาดหุ้นภูมิภาค โดยเห็นฟันด์โฟลว์ไหลเข้าไปพักอยู่ในตลาดหุ้นสหรัฐ
สาเหตุเพราะ 1.ความไม่แน่นอนว่าใครจะเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ เพราะนโยบายค่อนข้างต่างกัน 2.ทั้งสองพรรคระหว่าง Republican และ Democrat มีมาตรการที่ใช้งบประมาณค่อนข้างสูง เพราะฉะนั้นเป็นสิ่งที่จะมีแรงกดดันด้านเงินเฟ้อสหรัฐ และหากโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งจะมีประเด็นสงครามการค้า ที่จะทวีความรุนแรง ซึ่งจะเป็นอีกแรงกดดันเงินเฟ้อสหรัฐปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอีก
และจากความกังวลเรื่องเงินเฟ้อสหรัฐที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นนั้น ต้องติดตามการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ในวันที่ 6-7 พ.ย. 2567 ที่เดิมทีมองกันว่าจะปรับลดดอกเบี้ย 0.50% แต่คาดว่าอาจจะปรับลงไม่เร็วแล้ว ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ (Bond Yield) เพิ่มขึ้นในช่วง 2 สัปดาห์สุดท้ายของเดือน ต.ค.
ส่วนมูลค่าการซื้อขายต่อวันในเดือน ต.ค. 2567 อยู่ที่ระดับ 54,750 ล้านบาท ปรับตัวลดลงเล็กน้อยจากเดือน ก.ย. 2567 สาเหตุเพราะในเดือน ก.ย. มีหลายมาตรการออกมาโดยเฉพาะเรื่องกองทุนวายุภักษ์ แต่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 16% จากเดือน ต.ค. 2566 ซึ่งคาดว่าน่าจะทรงตัวอยู่ในระดับ 5-6 หมื่นล้านบาทต่อวัน ไปจนถึงช่วงสิ้นปีนี้
โดยกรณีมูลค่าการซื้อขายต่อวันในต้นเดือน พ.ย. ที่ค่อนข้างต่ำ เหลือระดับ 2-3 หมื่นล้านบาทต่อวันนั้น มองว่าเป็นเพราะนักลงทุน Wait and See ผลการเลือกตั้งสหรัฐ ซึ่งเชื่อว่าเมื่อมีความชัดเจน นักลงทุนที่เคย Risk-off อยู่น่าจะกลับเข้ามาลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น
สำหรับสัดส่วนนักลงทุนในประเทศ (รายย่อย, สถาบัน) ตอนนี้พบว่ามีสัดส่วนเกินกว่า 50% เป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน และโดยเฉพาะสัดส่วนของนักลงทุนสถาบัน มีสัดส่วนเกิน 10% ซึ่งเป็นระดับที่ไม่เคยเห็นมานาน ตั้งแต่ก่อนโควิด โดยสถาบันการเงินใหญ่ ๆ ของประเทศ อาทิ กบข., ประกันสังคม, บลจ., กองทุนวายุภักษ์ เห็นสัญญาณเริ่มกลับเข้ามาลงทุนจากที่ไม่ค่อยแอ็กทีฟ
“ภาพที่เราเห็นเรื่องของปัจจัยภายนอกประเทศ ทั้งความชัดเจนเรื่องการเลือกตั้งสหรัฐ ซึ่งน่าจะได้รู้ผลแล้ว และปัจจัยเงินเฟ้อ ที่ดอกเบี้ยเฟดอาจจะลดไม่แรง บอนด์ยีลด์สหรัฐจะปรับขึ้น เงินก็จะไหลกลับสู่ภูมิภาค จะเข้ามาประเทศไหนมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับจุดขาย ซึ่งตลาดหุ้นไทยมี 2 จุดแข็งคือเรื่อง Health and Tourism และเรื่องความยั่งยืน ซึ่งค่อนข้างน่าสนใจ”
ทั้งนี้ มองแนวโน้มภาพตลาดหุ้นในช่วงเดือน พ.ย.-ธ.ค. 2567 ตลาดหุ้นทั่วโลกคงจะมีความผันผวนแน่นอนหลังการเลือกตั้งสหรัฐ แต่สำหรับภาพตลาดหุ้นไทยจะมีปัจจัยช่วยหนุนอยู่ในระดับหนึ่งจากผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ช่วงปลายปี โดยเฉพาะภาคท่องเที่ยว-ห้างสรรพสินค้า-สนามบิน และประเด็นเรื่องการย้ายฐานการผลิต ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) หรือความต้องการเรื่องของพลังงานสะอาด
ประเมินภาพรวมกำไร บจ.งวดไตรมาส 3/2567 มองว่าน่าจะออกมาเติบโตดีขึ้นจากไตรมาส 2/2567 ประเมินตามทิศทางตัวเลขเศรษฐกิจไทย (GDP) แต่ท้ายที่สุดปัจจัยที่กังวลอยู่คือ 1.ราคาน้ำมันอยู่ในระดับไม่สูง และ 2.ค่าเงินบาทกลับด้านเป็นอ่อนค่า ซึ่งกดดันเงินไหลออก โดย 1 ใน 7 ของเศรษฐกิจไทยมาจากการท่องเที่ยว ซึ่งค่าเงินเป็นปัจจัยสำคัญ ส่วนการส่งออกปีนี้ถือว่าปรับตัวดีกว่าที่คาดไว้
“คำแนะนำจากที่หุ้นไทยขึ้นมายกแผงในช่วง 2 เดือนติด ระยะต่อไปแนะนำให้เลือกลงทุน (Selective) หุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดีและมีการเติบโตของกำไร (Growth Earning) ช่วงไตรมาส 3/2567”