ดอลลาร์แข็งค่ารับเลือกตั้งสหรัฐ หลังคาด ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ จะได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ 2024
ฝ่ายค้าเงินตราต่างประเทศ ธนาคารกรุงเทพรายงานว่า สภาวะการเคลื่อนไหวตลาดปริวรรตเงินตราประจำวันพุธที่ 6 พฤศจิกายน 2567 ค่าเงินบาทเปิดตลาดเช้าวนนี้ (6/11) ที่ระดับ 33.77/78 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่าจากระดับปิดตลาดเมื่อวันอังคาร (5/11) ที่ระดับ 33.61/63 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการรายงานเมื่อคืนนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขขาดดุลการค้าของสหรัฐพุ่งขึ้น 19.2% สู่ระดับ 8.44 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือน ก.ย. สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 8.41 หมื่นล้านดอลลาร์ จากระดับ 7.08 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือน ส.ค. ทั้งนี้ การนำเข้าในเดือน ก.ย.พุ่งขึ้น 3% สู่ระดับ 3.52 แสนล้านดอลลาร์ ขณะที่การส่งออกลดลงสู่ระดับ 2.68 แสนล้านดอลลาร์
ทางด้านสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยว่า ดัชนีภาคการบริการปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 56.0 ในเดือน ต.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือน ส.ค. 2565 จากระดับ 54.9 ในเดือน ก.ย. และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 53.8
ในส่วนของรายงานผลการนับคะแนนการเลือกตั้งสหรัฐเบื้องต้นในรัฐที่ปิดคูหาเลือกตั้งแล้ว ปรากฏว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกัน ได้คะแนนคณะผู้เลือกตั้ง (electoral vote) ไปแล้ว 267 คะแนน ขณะที่คามาลา แฮร์ริส แคนดิเดตจากพรรคเดโมแครต ได้ไป 214 คะแนน โดยผู้สมัครคนใดที่ได้คะแนนคณะผู้เลือกตั้งถึง 270 คะแนนก่อน จะเป็นผู้ชนะการเลือกตั้งครั้งนี้
ซึ่งอดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกัน เก็บชัยชนะใน 3 รัฐสมรภูมิ จาก 7 รัฐที่คาดว่าจะเป็นตัวตัดสินชี้ขาดผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งสำคัญที่สุดครั้งหนึ่งของสหรัฐ แม้ว่าการนับคะแนนยังคงดำเนินอยู่ แต่สื่อหลายสำนักรายงานว่า อดีตประธานาธิบดีทรัมป์กำลังจะสร้างประวัติศาสตร์เป็นคนแรกในรอบ 132 ปีที่จะได้สาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่ 2 แบบไม่ติดต่อกัน
หลังจากที่ผลการนับคะแนนเบื้องต้นบ่งชี้ว่า เขาชนะในรัฐนอร์ทแคโรไลนา จอร์เจีย และเพนซิลเวเนีย พร้อมกวาดคะแนนคณะผู้เลือกตั้งรวมจาก 3 รัฐนี้ไปได้ทั้ง 51 คะแนน ซึ่งก่อนหน้านี้ นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า การเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งนี้จะถูกตัดสินจากคะแนนเสียงของผู้ที่ยังไม่ได้ตัดสินใจ
และคะแนนเสียงจากรัฐสมรภูมิ ที่เรียกว่า Swing States หรือ Battleground States ซึ่งเป็นรัฐที่ไม่ใช่ฐานเสียงของทั้งพรรคดโมแครตและรีพับลิกัน โดยรัฐเหล่านี้มีอยู่ 7 รับ ประกอบด้วย แอริโซนา จอร์เจีย มิชิแกน เนวาดา นอร์ทแคโรไลนา เพนซิลเวเนีย และวิสคอนซิน ซึ่งทั้ง 7 รัฐดังกล่าวมีคะแนนเสียงจากคณะผู้เลือกตั้ง รวมกันมากถึง 93 เสียง
อย่างไรก็ตาม ผลการนับคะแนนในช่วงแรกแสดงให้เห็นว่า รองประธานาธิบดีคามาลา แฮร์ริส จากพรรคเดโมแครต ทำผลงานอ่อนแอกว่าที่คาดไว้ใน 7 รัฐสำคัญ โดยดอลลาร์แข็งค่าจากการคาดการณ์ที่ว่าทรัมป์จะชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ
นักวิเคราะห์ระบุว่า ชัยชนะของทรัมป์จะเป็นปัจจัยบวกต่อค่าเงินดอลลาร์ เนื่องจากแผนการปรับลดอัตราภาษี การผ่อนคลายกฎระเบียบในภาคการเงิน รวมทั้งการตั้งกำแพงภาษีสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากจีน จะส่งผลกระทบต่อสกุลเงินเอเชีย และจะเพิ่มความผันผวนในตลาดการเงิน ซึ่งจะเอื้อประโยชน์ต่อดอลลาร์ในที่สุด
นอกจากนี้ มีการคาดการณ์ว่ามาตรการต่าง ๆ ของทรัมป์จะเป็นปัจจัยกระตุ้นเงินเฟ้อ ซึ่งจะส่งผลให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ชะลอการปรับลดอัตราดอกเบี้ย และจะหนุนให้ดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ซึ่งตลาดจับตาการแถลงผลการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันพฤหัสบดี (7/11) โดยนักลงทุนให้น้ำหนักเกือบ 100% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 4.50-4.75% ในการประชุมครั้งนี้
ด้านปัจจัยภายในประเทศ นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชยเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป (CPI) เดือ ต.ค.อยู่ที่ 108.61 หรืออัตราเงินเฟ้อทั่วไปสูงขึ้น 0.83% จากเดือนเดียวกันของปีก่อน ปัจจัยที่ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นมาจากราคาสินค้ากลุ่มอาหาร โดยเฉพาะผักสดและผลไม้
ประกอบกับราคาน้ำมันดีเซลและค่ากระแสไฟฟ้าได้มีการปรับสูงขึ้นเนื่องจากฐานราคาที่ต่ำในปี่อน ซึ่งมีมาตรการช่วยเหลือค่าใช้จ่ายด้านพลังงานจากภาครัฐมากกว่าปนี้ ขณะที่ราคาแก๊สโซฮอล์ปรับตัวลดลงตามทิศทางราคาพลังงานในตลาดโลก
สำหรับราคาสินค้าและบริการอื่น ๆ ส่งผลกระทบต่อภาวะเงินเฟ้อไม่มากนัก ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไป เฉลี่ย 10 เดือนปีนี้ (ม.ค.-ต.ค.) สูงขึ้น 0.26% ขณะที่ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน (Core CPI) เดือน ต.ค. 67 อยู่ที่ 105.26 หรือขยายตัว 0.77% โดยเฉลี่ย 10 เดือน สูงขึ้น 0.52% ทั้งนี้ในระหว่างวันบาทเคลื่อนไหวในกรอบระหว่าง 33.55-34.18 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ และปิดตลาดที่ระดับ 34.15/16 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
สำหรับความเคลื่อนไหวของค่าเงินยูโร เปิดตลาดเช้าวันนี้ (6/11) ที่ระดับ 1.0848/49 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร อ่อนค่าจากระดับปิดตลาดเมื่อวันอังคาร (5/11) ที่ระดับ 1.0892/93 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร โดยนักลงทุนคงจับตาผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ทั้งนี้ในระหว่างวันบาทเคลื่อนไหวในกรอบระหว่าง 1.0752-1.0892 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร และปิดตลาดที่ระดับ 1.0758/59 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร
สำหรับความเคลื่อนไหวของค่าเงินเยน เปิดตลาดเช้าวันนี้ (6/11) ที่ระดับ 152.83/84 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่าจากระดับปิดตลาดเมื่อวันอังคาร (5/11) ที่ระดับ 152.18/19 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ โฆษกรัฐบาลญี่ปุ่นกล่าวในวันนี้ (6/11) ว่า ญี่ปุ่นมีเป้าหมายที่จะสร้างความไว้วางใจและความร่วมมือกับรัฐบาลสหรัฐ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีคนใหม่ เพื่อส่งเสริมความเป็นพันธมิตรด้านความมั่นคงระดับทวิภาคีให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นต่อไป ทั้งนี้ในระหว่างวันค่าเงินเยนเคลื่อนไหวในกรอบระหว่าง 152.82-154.32 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ และปิดตลาดที่ระดับ 154.03/04 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ
ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญในสัปดาห์นี้ได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ (7/11), สินค้าคงคลังในกิจการค้าปลีกไม่รวมธุรกิจยานยนต์เดือน ก.ย. (7/11), ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภครัฐมิชิแกนเดือน พ.ย. (8/11), แถลงการณ์ของคณะกรรมการนโยบายการเงินธนาคารกลางสหรัฐ (8/11)
สำหรับอัตราป้องกันความเสี่ยง (Swap point) ภาคเช้า 1 เดือนในประเทศอยู่ที่ -6.80/-6.50 สตางค์/ดอลลาร์สหรัฐ และอัตราป้องกันความเสี่ยงภาคเช้า 1 เดือนต่างประเทศอยู่ที่ -2.25/-1.00 สตางค์/ดอลลาร์สหรัฐ