บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ประเมินหุ้นไทยวันนี้ แนวรับ 1,460 จุด แนวต้าน 1,480 จุด คาดฟันด์โฟลว์มีโอกาสไหลออก หลัง ‘ทรัมป์’ ได้ตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ หนุนตลาดหุ้นสหรัฐ แต่จะทำให้ดอลลาร์แข็งค่าและบาทอ่อน รวมถึงความกังวลด้านนโยบายกีดกันทางการค้ากดดันดัชนีให้ปรับลงได้ต่อ
บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด รายงานว่าชัยชนะของทรัมป์หนุนตลาดหุ้นสหรัฐ แต่คาดจะกดดันตลาดหุ้นไทย โดย Fund Flow มีโอกาสไหลออกได้ต่อ จากดอลลาร์แข็งค่าและบาทอ่อน รวมถึงความกังวลด้านนโยบายกีดกันทางการค้ากดดันดัชนีให้ปรับลงได้ต่อ โดยมีแนวรับถัดไปที่ 1,460 และ 1,450 จุด ตามลำดับ ส่วนกรอบบนถูกจำกัดที่แนวต้าน 1,480-1,487 จุด
ช่วงสั้น SET มีโอกาสฟื้นตัวจากระดับ 1,450 จุด เนื่องจากมองตัวเลขเงินเฟ้อจีนจะออกมาต่ำกว่าคาด ทำให้จีนอาจจออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหม่ และคาดเฟดมีแนวโน้มปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย 25bps ซึ่งจะส่งผลดีต่อบรรยากาศลงทุนในตลาดหุ้น รวมไปถึงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ คาดจะทำให้แนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐมีความชัดเจนมากขึ้น
ทั้งนี้อาจจะมีความผันผวนที่สูงหากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดี ส่วนปัจจัยในประเทศน่าจะถูกขับเคลื่อนด้วยผลประกอบการ 3Q67 ของ บจ. ไทยเป็นสำคัญ แต่อย่างไรก็ดี ความผันผวนของค่าเงิน และ Fund Flow ที่ยังไหลออกจากตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย ยังเป็นแรงกดดันต่อ Upside ของ SET ที่ 1500 จุด ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy”
ประเด็นสำคัญวันนี้ที่ต้องติดตาม
- พรรค Republican ชนะการเลือกตั้งสหรัฐ ทั้งสภาบน (52 ต่อ 42) และสภาล่าง (198 ต่อ 180) และชนะในทุก Swing State 7 มลรัฐ ทำให้นายโดนัลด์ ทรัมป์ คว้าชัยชนะในการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ คนที่ 47
- สมาคมธนาคารไทยเปิดเกณฑ์ช่วยเหลือแก้หนี้ครัวเรือน ย้ำเป็น NPL ไม่เกิน 1 ปี สินเชื่อบ้านไม่เกิน 3 ล้านบาท สินเชื่อรถไม่เกิน 7 แสนบาท และเอสเอ็มอีไม่เกิน 3 ล้านบาท รวมวงเงินช่วยเหลือ 1.4 ล้านล้านบาท ส่วนแหล่งเงินทุนมาจากให้แบงก์ลดเงินนำส่ง FIDF เหลือ 0.23% จาก 0.46%
- ม.หอการค้าไทยเผยผลสำรวจการใช้จ่ายช่วงวันลอยกระทง 15 พ.ย.นี้ คาดมีมูลค่าใช้จ่าย 10,355 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.5%YoY สูงสุดรอบ 9 ปี แต่แจกเงินหมื่นบาทไม่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ จี้รัฐออกมาตรการเพิ่ม
- ธอส.เผยดัชนีราคาที่อยู่อาศัยใน กทม. และปริมณฑล 3Q67 มีทิศทางปรับเพิ่มขึ้นตามต้นทุนที่ดิน ค่าแรง น้ำมัน กระทบต้นทุนก่อสร้าง สะท้อนแนวโน้มบ้านจัดสรรและห้องชุดใหม่ในปีหน้ามีราคาเพิ่มสูงขึ้น
- เงินเฟ้อทั่วไปเดือน ต.ค. สูงขึ้น 0.83% จากการสูงขึ้นของราคาอาหาร โดยเฉพาะผักและผลไม้สด และราคาน้ำมันและค่าไฟฟ้า ซึ่งมีฐานราคาปีก่อนต่ำกว่าจากมาตรการช่วยเหลือ
- กกร.ประเมิน GDP ปีนี้มีแนวโน้มขยายตัวได้ที่ 2.6-2.8% จากเดิมที่คาด 2.2-2.7% ขับเคลื่อนจากการส่งออก, การกระตุ้นกำลังซื้อ, เร่งเบิกจ่ายงบฯ และมีมาตรการระยะสั้น กลาง และยาว ที่กำลังทยอยออกมา
- สถาบันปิโตรเลียมและพลังงานแห่งประเทศไทย แนะรัฐบาลเร่งจัดหาแหล่งก๊าซฯ ในช่วงเปลี่ยนพลังงาน เนื่องจากปัจจุบันปริมาณสำรองก๊าซฯ ลดลงต่อเนื่องจนเข้าขั้นวิกฤต ทำให้ต้องนำเข้าก๊าซ LNG ในราคาที่ผันผวนเพิ่มขึ้นมีผลกระทบต่อค่าไฟฟ้าที่สูงขึ้น
กลยุทธ์การลงทุน
ช่วงสั้นมอง SET มีโอกาสฟื้นตัวจากระดับ 1,450 จุด แต่ยังมีแรงกดดันที่ 1,500 จุด จากความผันผวนของค่าเงิน Fund Flow ที่ยังไหลออกจากตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ใน 4 ธีมที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ดังนี้
1.หุ้น Earnings Play สำหรับเก็งกำไรระยะสั้น คาดกำไร 3Q67 ออกมาเติบโตดี YoY และเป็นหุ้นที่เราแนะนำ Outperform เลือก CPAXT TU BCH MTC CBG WHA BDMS CPALL TIDLOR BEM AOT
2.หุ้น Global Play คาดระยะสั้นยังได้ประโยชน์จากเงินบาทอ่อนค่าและคาดกำไร 3Q67 เติบโต YoY และ 2H67 คาดกำไรยังแข็งแกร่ง HoH และ YoY เลือก TU AOT
3.หุ้นที่จ่ายปันผลสูงและคาดได้อานิสงส์จากการเป็นเป้าหมายสะสมของกองทุนวายุภักษ์และกองทุนลดหย่อนภาษี (SSF, RMF และ THAIESG) แนะนำหุ้น SET100 ที่มี Div. Yield ขั้นต่ำ 3.5%, ESG Rating และ CG สูง, ฐานะการเงินแข็งแกร่ง และมีแนวโน้มเติบโตในปี 2025 เลือก BBL ADVANC HMPRO BCP ทั้งนี้แนะนำรอซื้อเมื่ออ่อนตัว หลังราคาหุ้นปรับขึ้นมาแรงในช่วงที่ผ่านมา
4.สำหรับนักลงทุนที่ยังกังวลสถานการณ์ในตะวันออกกลางและต้องการหุ้นน้ำมันสำหรับป้องกันความเสี่ยง (Hedging) ยังคงเลือกหุ้นน้ำมันขั้นต้นอย่าง PTTEP
หุ้น TOP PICK วันนี้
CPAXT: 3Q67 คาดกำไรจะเติบโต YoY จากยอดขายและมาร์จิ้นที่ดีขึ้น จากนั้นจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงที่สุดของปีนี้ใน 4Q67 (เพิ่มขึ้น YoY และ QoQ) ทั้งนี้ภายหลังควบรวมกิจการ synergy จะเริ่มมีให้เห็นใน 4Q67 และชัดเจนมากขึ้นในช่วงกลางปี 2568 อีกทั้งมองเป็นหนึ่งในผู้ได้รับประโยชน์หลักของกลุ่มพาณิชย์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล
AWC: 3Q67 คาดผลการดำเนินงานจะออกมาเด่นสุดในกลุ่ม โดยกำไรปกติจะเติบโต 92%YoY และ 19%QoQ ขณะที่กำไรปกติของผู้ประกอบการรายอื่น ๆ จะลดลง QoQ ส่วนปี 67 คาดมีกำไรปกติเติบโต 57%YoY และเติบโตต่อ 23% YoY ในปี 2568 แรงหนุนจากการดำเนินงานโรงแรมที่ดีขึ้น ซึ่งโมเมนตัมกำไรที่แข็งแกร่งจะเป็นปัจจัยกระตุ้นราคาหุ้น