ก.ล.ต.เตรียมเอาผิดเคสใหญ่ตลาดหุ้นสัปดาห์หน้า ฟื้นความเชื่อมั่นตลาดทุน คาดช่วงที่เหลือของปีนี้มากกว่า 2 เคส ชี้ส่วนใหญ่พบความผิดทางแพ่งที่เกี่ยวข้องกับการปั่นหุ้น-การบริหารงานผิดพลาด
นายเอนก อยู่ยืน รองเลขาธิการ และโฆษกสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า ก.ล.ต.ยังติดตามดำเนินคดีต่อผู้กระทำในกรณีต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด โดยปัจจุบันได้ดำเนินการไปหลายเคสแล้ว และยังมีเคสที่ยังคงค้างอยู่เยอะพอสมควร อย่างไรก็ตามช่วงที่เหลือของปีนี้ ก.ล.ต.คาดว่าจะมีความชัดเจนของการกล่าวโทษออกมามากกว่า 2 เคส
ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการกล่าวโทษทางแพ่งที่เกี่ยวข้องกับการสร้างราคาและการบริหารงานผิดพลาดของผู้บริหาร ซึ่งในสัปดาห์หน้าจะมีการออกประกาศกล่าวโทษเคสใหญ่เคสหนึ่งออกมา ขอให้รอติดตามการรายงานของ ก.ล.ต. ซึ่งยังไม่สามารถให้ข้อมูลใด ๆ ได้ในตอนนี้
นอกจากนี้ ภายในสิ้นเดือนธันวาคม 2567 นี้ จะมีการสรุปเงื่อนไข ทรัสต์เพื่อการลงทุนในโครงการด้านสิ่งแวดล้อม (Green Investment Trust : GIT) เพื่อรองรับและสนับสนุนการลงทุนโครงการด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อกักเก็บก๊าซเรือนกระจกในกิจกรรมภาคป่าไม้หรือการเกษตร
ซึ่งเป็นหนึ่งในกลไกที่สนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมและส่งเสริมให้เกิดความหลากหลายทางชีวภาพ (biodiversity) ของประเทศ และส่งเสริมธุรกิจ ผู้ลงทุน หรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้องให้มีส่วนร่วมในการดูแลด้านสิ่งแวดล้อมและเป็นช่องทางการระดมทุนในตลาดทุนแก่ธุรกิจ ทั้งโครงการสิ่งแวดล้อมที่ออกมาใหม่หรือเป็นโครงการเดิมที่มีอยู่แล้ว
ทั้งนี้ กองทรัสต์ GIT ไม่ได้เป็นไปเพื่อแสวงหาผลประโยชน์จากการจัดการทรัพย์สินส่วนตัวของบุคคลใดหรือกลุ่มบุคคลใดเป็นการเฉพาะ (private trust) หรือเป็นการหลีกเลี่ยงการปฏิบัติตามกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง
สำหรับทรัพย์สินหลักที่กำหนดให้กองทรัสต์ GIT ลงทุนในโครงการด้านสิ่งแวดล้อม มีดังนี้
1) กรรมสิทธิ์หรือสิทธิการเช่าที่ดิน เฉพาะกิจกรรมในภาคป่าไม้และการเกษตร เพื่อกักเก็บปริมาณคาร์บอนให้เพียงพอตามเงื่อนไขขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก.
2) สิทธิตามสัญญาแบ่งรายได้ในอนาคตของโครงการตาม (1) โดยที่ดินต้องอยู่ในประเทศไทย และอย่างน้อยโครงการทั้งหมดจะต้องขึ้นทะเบียนในโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (T-VER) กับ อบก. หรือมาตรฐานคาร์บอนเครดิตสากลอื่นที่เป็นที่ยอมรับทั่วไป
นายเอนกกล่าวอีกว่า หลังจากที่สำนักงาน ก.ล.ต. ร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) ที่ได้ปรับปรุงเพิ่มเติมจากฉบับเดิม เพื่อยกระดับการกำกับดูแลตลาดทุนร่วมกันให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ภายใต้กรอบกฎหมายและกฎเกณฑ์ของแต่ละองค์กร เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2567 นั้น
สำนักงาน ก.ล.ต.ได้มีการประชุมร่วมกันเพิ่มเติมกับตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อหารือเกี่ยวกับแนวทางในการขับเคลื่อนตลาดทุนไทยในอนาคต เพื่อสร้างความน่าสนใจให้กับตลาดหุ้นไทยเพิ่มเติม และดึงผู้ลงทุนรายย่อยและนักลงทุนสถาบัน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทั้งการปรับปรุงกระบวนการต่าง ๆ เพื่อรองรับ “หลักทรัพย์ดิจิทัล” โดยจะมีการนำเทคโนโลยีมาใช้มากขึ้นในการขับเคลื่อนและเพิ่มศักยภาพของตลาดทุนไทย
นอกจากนี้ยังพยายามที่จะขับเคลื่อนให้บริษัทจดทะเบียนมี “Value Up Program” เพื่อเป็นแนวทางในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กิจการ และเพื่อให้ผู้ลงทุนนำข้อมูลดังกล่าวมาประกอบการตัดสินใจในการตัดสินใจลงทุนการผลักดันบริษัทจดทะเบียนให้มีการเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืนมากขึ้น เพื่อรับมาตรฐานสากล ซึ่งถือเป็นเทรนด์ที่นักลงทุนทั่วโลกให้ความสำคัญ หากสามารถฉกฉวยโอกาสได้ เชื่อว่าจะสามารถดึงดูดผู้ลงทุนทั่วโลกได้
นอกจากนี้ สำนักงาน ก.ล.ต.มีแผนในการส่งเสริมให้ผู้ลงทุนรายย่อยในประเทศ มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการลงทุนมากขึ้น เพื่อให้สามารถดูแลและป้องกันความเสี่ยงของตนเองได้ สำหรับการลงทุนต่าง ๆ