TCAP ประกาศจ่ายปันผลระหว่างกาลสูงกว่าปีที่แล้ว ปิดงบฯ 9 เดือนกำไรโต 3%

TCAP ประกาศงบฯ งวด 9 เดือนปี’67 กำไรโต 3% จ่ายปันผลระหว่างกาล 1.25 บาทต่อหุ้น สูงกว่าปีที่แล้ว

บริษัท ทุนธนชาต จำกัด (มหาชน) “TCAP” เปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 3 และงวด 9 เดือนปี 2567 โดยกำไรสุทธิตามงบการเงินรวมในไตรมาส 3 ปี 2567 อยู่ที่ 1,675 ล้านบาท เป็นกำไรสุทธิส่วนของบริษัทฯ จำนวน 1,621 ล้านบาท รวม 9 เดือนปี 2567 กำไรสุทธิมีจำนวน 5,656 ล้านบาท เป็นกำไรสุทธิส่วนของบริษัทฯ จำนวน 5,309 ล้านบาท

นายสมเจตน์ หมู่ศิริเลิศ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทุนธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TCAP เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาส 3 และงวด 9 เดือนปี 2567 ของบริษัท มีกำไรสุทธิตามงบการเงินรวมในไตรมาส 3 ปี 2567 อยู่ที่ 1,675 ล้านบาท เป็นกำไรสุทธิส่วนของบริษัท จำนวน 1,621 ล้านบาท รวม 9 เดือนปี 2567 กำไรสุทธิมีจำนวน 5,656 ล้านบาท เป็นกำไรสุทธิส่วนของบริษัทฯ จำนวน 5,309 ล้านบาท

“บริษัทและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิตามงบการเงินรวมในไตรมาส 3 ปี 2567 จำนวน 1,675 ล้านบาท โดยเป็นกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัท จำนวน 1,621 ล้านบาท ลดลง 16% จากไตรมาสก่อน (Q-Q) อย่างไรก็ตาม กำไรสุทธิของบริษัทและบริษัทย่อยรวม 9 เดือนปี 2567 มีจำนวน 5,656 ล้านบาท โดยเป็นกำไรสุทธิส่วนของบริษัท จำนวน 5,309 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% จากงวดเดียวกันปีก่อน (Y-Y)”

ทั้งนี้ เป็นผลมาจากการเติบโตของส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนที่ TCAP ลงทุนในบริษัทร่วมที่เติบโตขึ้น 20% Y-Y แต่จากภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงเปราะบางและฟื้นตัวอย่างไม่ทั่วถึง เป็นเหตุให้ภาคธุรกิจบางส่วนประสบปัญหาติดขัดในการดำเนินธุรกิจ ประกอบกับความผันผวนของอัตราดอกเบี้ย ที่ส่งผลต่อต้นทุนทางการเงิน รวมทั้งความเข้มงวดของการให้สินเชื่อ จึงส่งผลให้รายได้ดอกเบี้ยสุทธิปรับลดลง และผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นปรับเพิ่มขึ้น

“ถึงแม้ว่าบริษัทและบริษัทย่อยจะได้รับผลกระทบดังกล่าว แต่ผลการดำเนินงานยังมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น คณะกรรมการบริษัท จึงได้มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัท ในอัตราหุ้นละ 1.25 บาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่จ่ายปันผลระหว่างกาลหุ้นละ 1.20 บาท เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2567 และได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปแล้วเมื่อวันที่ 30 กันยายน ที่ผ่านมา ทั้งนี้ TCAP มีนโยบายที่จะจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นอย่างเหมาะสม โดยคำนึงถึงผลการดำเนินงานและการดำรงสภาพคล่องของบริษัท”